3 พฤติกรรมเสี่ยง โรคข้อเข่าเสื่อม

ช่วงเวลาที่ทุกฝ่ายยังคงต้องเฝ้าระวังโควิด-19 (COVID-19) ไม่ให้กลับมาระบาดระลอก 2
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ หนึ่งในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งควรอยู่บ้านให้มากที่สุดและเมื่ออยู่บ้านเป็นเวลานานๆ อาจจะมีโรคอื่นๆ มาเยี่ยมเยียนได้ และ ข้อเข่าเสื่อม เป็นอีกหนึ่งโรคยอดฮิตสำหรับผู้สูงอายุ วันนี้ SI มีบทความดีๆ เกี่ยวกับโรคข้อเข่าเสื่อมและวิธีป้องกันมาฝากกันค่ะ

พฤติกรรมเสี่ยงเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม

1.ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน
จะทำให้ขาต้องรับน้ำหนักตัวมากเกินไป ส่งผลให้เกิดแรงกดทับบริเวณข้อเข่ามากกว่าปกติ โดยเฉพาะผู้ที่มีปริมาณไขมันมาก และมีมวลกล้ามเนื้อน้อยจะยิ่งทำให้เกิดภาระในการรับน้ำหนักตัว ทำให้เกิดการเสียดสีของกระดูกบริเวณข้อเข่ามากกว่าปกติ จึงอาจทำให้เกิดโรคข้อข้อเข่าเสื่อมและมีอาการปวดข้อเข่าได้

2. ผู้ที่ออกกำลังกายที่มีการกระแทกมาก การวิ่ง การยกน้ำหนัก อาจทำให้เกิดแรงกดทับบริเวณข้อต่อมากกว่าปกติ โดยเฉพาะผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากเกินมาตรฐาน ควรเลือกออกกำลังกายเบาๆ ก่อน ไม่ควรเริ่มด้วยการวิ่งเร็วๆ เพราะอาจทำให้เกิดแรงกดทับบริเวณข้อเข่ามากเกินไปจนอาจทำให้เกิดอาการปวดบริเวณข้อเข่าหากทำเป็นประจำ ควรใช้อุปกรณ์ที่ช่วย Support บริเวณข้อเข่า และออกกำลังกายแต่พอดี ไม่หักโหมมากจนเกินไป

3.พฤติกรรมการนั่งพับเพียบ การนั่งคุกเข่านานต่อเนื่องเป็นประจำ ก็ทำให้เกิดแรงกดทับได้มากเช่นกัน ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้เช่นกัน

ข้อควรปฏิบัติเพื่อข้อเข่าที่แข็งแรง
เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อม ควรรักษาน้ำหนักตัวให้มีความสมดุล และออกกำลังกายอย่างเหมาะสมเป็นประจำ เสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อที่แข็งแรงเพื่อช่วยในการเคลื่อนไหวร่างกาย และลดแรงกดทับจากน้ำหนักตัวที่มากเกินไป

อย่างไรก็ตาม การเลือกวิธีออกกำลังกายที่เหมาะสม ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ การออกกำลังกายทางน้ำ เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อต่ออักเสบ หรือ ข้อเสื่อมอยู่แล้ว รวมถึงผู้ที่ต้องการออกกำลังกายแต่กลัวปัญหาเรื่องแรงกระแทก เพราะน้ำจะช่วยพยุงร่างกายและลดแรงกระแทกได้ดี ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อได้ดีเช่นกัน

ที่มา : www.sanook.com

หากท่านใดต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


ต้านหวัดง่ายๆ ด้วยสุดยอด 20 อาหาร

สำหรับในบางคนแล้วการเป็นหวัดดูเหมือนจะเรื่องปกติไปเสียแล้ว เพราะเป็นหวัดบ่อยเสียเหลือเกิน บางคนเมื่อเป็นหวัดแล้ว ก็มักจะใช้ระยะเวลานานกว่าจะหายดี ดังนั้น นอกจากการดูแลตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอแล้ว เรื่องการเลือกทานอาหารก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญ การเลือกทาน อาหารต้านหวัด ยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยทำให้คุณห่างไกลจากโรคหวัด วันนี้ SI มีบทความดีๆ มาฝากกันค่ะ

อาหารต้านหวัด บางอย่างอาจจะเป็นอาหารที่บริโภคอยู่เป็นประจำ แต่คุณอาจจะไม่รู้ว่ามันมีคุณสมบัติในการต้านหวัดได้ ดังนั้น ลองมาดูกันดีกว่าว่า อาหารต้านหวัดนั้นมีอะไรบ้าง

เห็ด
สำหรับเห็ดนั้นมีคุณสมบัติในการต้านไวรัส ซึ่งเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วมันสามารถช่วยให้ร่างกายของคุณต่อต้านเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ แต่เห็ดแต่ละชนิดมักมีสิ่งที่แตกต่างกันเล็กน้อย แต่ทั้งหมดก็มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้เป็นอย่างดี ดังนั้นการบริโภคเห็ดหลายๆ ชนิดรวมกันจึงถือเป็นเรื่องที่ควรทำเป็นอย่างมาก

น้ำซุป
เมื่อคุณเป็นไข้หวัด น้ำซุปถือเป็นอาหารที่คุณสามารถรับประทานได้ทันทีตั้งแต่เริ่มเป็นหวัด และสามารถรับประทานไปจนกว่าคุณจะหายดีได้เลย น้ำซุปช่วยป้องกันการขาดน้ำ ทั้งยังช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย บรรเทาอาการเจ็บคอ และบรรเทาอาการอึดอัดต่างๆ ได้ด้วย

กระเทียม
กระเทียม สามารถลดความรุนแรงของอาการหวัด และไข้หวัดใหญ่ได้ ด้วยการเข้าไปช่วยเพิ่มเซลล์เม็ดเลือดขาวในเลือด ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ใช้ในการต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ได้

ซุปไก่
จากการศึกษาในปี 2000 พบว่า ส่วนผสมในซุปไก่นั้นสามารถต่อสู้กับอาการอักเสบในร่างกายได้ ทั้งยังช่วยแก้อาการคัดจมูก บรรเทาอาการอื่นๆ ในทางเดินหายใจ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับร่างกายได้

แครอท
แครอทนั้นอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนและวิตามินเอ ซึ่งทั้ง 2 สิ่งนี้ช่วยทำให้ร่างกายของคุณซ่อมแซมระบบภูมิคุ้มกันที่บกพร่องได้ นอกจากนั้นวิตามินเอยังช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันความเสียหายของเซลล์ในร่างกายอีกด้วย

โยเกิร์ต
โยเกิร์ต สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ ทั้งยังสามารถเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ดังนั้น เมื่อเกิดอาการเจ็บคอ ลองเลือกทานโยเกิร์ตแบบที่ไม่เพิ่มน้ำตาล จะสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอที่เกิดขึ้นได้

ผลไม้ที่มีวิตามินซี
วิตามินซี นั้นเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นสารอาหารที่สามารถต่อสู่กับโรคไข้หวัดได้ แถมยังเป็นสารอาหารที่สำคัญในการช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่คุณป่วย นอกจากนั้นร่างกายของเรายังสามารถดูดซึมวิตามินซีได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ดังนั้นวิตามินซีจึงกลายเป็นสารอาหารสำคัญที่ควรเลือกทานเมื่อยามที่คุณเป็นไข้หวัด

คีเฟอร์ (Kefir)
คีเฟอร์ (Kefir) คือ นมที่หมักกับหัวเชื้อจุลินทรีย์ รสคล้ายโยเกิร์ตแต่เข้มข้นกว่า ทั้งยังอุดมไปด้วยแบคทีเรียที่ดีต่อกระเพาะและลำไส้อย่าง โปรไบโอติก (Probiotics) ซึ่งโปรไบโอติกนี้สามารถลดระยะเวลาในการพักฟื้นเมื่อป่วยเป็นไข้หวัดได้ทนอกจากนั้นมันยังมีความสำคัญต่อการย่อยอาหารที่เหมาะสมอีกด้วย หากไม่มีการย่อยอาหารที่เหมาะสมก็จะส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมสารอาหารเพื่อช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้

ไข่
ไข่มีซีลีเนียม (Selenium) ที่ช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันและต่อมไทรอยด์ทำงานได้ดี ทั้งยังมีโปรตีนและกรดอะมิโนสูงมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน จึงช่วยป้องกันหวัดและไข้หวัดใหญ่

เมล็ดฟักทอง
เมล็ดฟักทอง อุดมไปด้วยแร่ธาตุ วิตามินอี ซึ่งเป็นสารอาหารอีกชนิดที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ดังนั้น การบริโภคเมล็ดฟักทอง จึงช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคหวัดได้

ผักใบเขียว
ผักใบเขียว เช่น ผักโขม ผักคะน้า และผักอื่นๆ สามารถช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของคุณยามที่คุณเป็นไข้หวัดได้ นอกจากนั้นผักใบเขียว ยังมีวิตามินซีและวิตามินอี ซึ่งเป็นสารอาหารที่เสริมภูมิคุ้มกันนั่นเอง ซึ่งคุณสามารถบริโภคแบบดิบๆ หรือจะปั่นรวมกับน้ำมะนาวก็ได้เช่นกัน

บรอกโคลี่
บรอกโคลี่ เป็นแหล่งพลังงานที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งยังมีวิตามินซี วิตามินอี แคลเซียม และไฟเบอร์ ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย บรอกโคลี่จึงถือเป็นอาหารต้านหวัดอีกหนึ่งชนิดที่ควรเลือกทาน เมื่อคุณเป็นไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่

น้ำ
น้ำมีความสำคัญต่อกระบายการสรีรวิทยาทุกอย่างในร่างกาย เมื่อร่างกายขาดน้ำ ร่างกายก็จะไม่สามารถทนต่อความเจ็บป่วยตามที่ควรได้ นอกจากนั้นแล้วการดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมยังช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำที่อาจจะเกิดขึ้นกับร่างกายของคุณได้อีกด้วย

จมูกข้าวสาลี
จมูกข้าวสาลีอุดมไปด้วยสารอาหาร วิตามินอี ซีลีเนียม (Selenium) และแมกนีเซียม ทั้งยังเป็นแหล่งมังสวิรัติที่สำคัญของธาตุสังกะสี การทานจมูกข้าวสาลีจึงช่วยทำให้ร่างกายของคุณต่อต้านกับอาการไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ได้เป็นอย่างดี

ข้าวโอ๊ตบด
เมื่อคุณป่วย ข้าวโอ๊ตบดร้อนๆ ถือเป็นอาหารที่ควรเลือกทาน เพราะมีคุณค่าทางโภชนาการที่สูง เนื่องจากข้าวโอ๊ตนั้นอุดมด้วยวิตามินอีที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่าง โพลีฟีนอล (Polyphenol) ที่ทำหน้าที่ในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันอีกด้วย

เครื่องเทศ
ในช่วงท้ายๆ ของการเป็นไข้หวัดใหญ่ คุณอาจจะมีอาการไซนัสและอาการแน่นหน้าอกเกิดขึ้น เครื่องเทศบางชนิด เช่น พริกไทย และมะรุม สามารถช่วยลดอาการเหล่านี้ลงได้ จึงทำให้คุณสามารถหายใจได้ดีขึ้น แต่หากคุณมีอาการเจ็บคอร่วมด้วย ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดจะเป็นการดีที่สุด

ขิง
ขิงสามารถช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ที่มาพร้อมกับไข้หวัด โดยปกติแล้วขิงมีสรรพคุณที่ช่วยในกระบวนการย่อยอาหาร ทั้งยังสามารถรักษาอาการแพ้ท้อง อาการคลื่นไส้ที่เกิดจากการทำเคมีบำบัด และลดความถี่ของการอาเจียนในระหว่างตั้งครรภ์ได้อีกด้วย

อาหารที่มีรสหวาน
ไข้หวัดอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ทั้งยังอาจทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร ดังนั้นการเลือกทานอาหารที่มีรสหวานผสมอยู่ อย่าง ขนมปัง หรือข้าวกล้อง อาจจะง่ายต่อการบริโภคมากกว่า การจับคู่ขนมปังปิ้งหรือข้าวกล้องกับซุป หรืออาหารที่ทำจากผักง่ายๆ จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่เพียงพอ

อัลมอนด์
อัลมอนด์มีวิตามินซีสูงมาก ทั้งยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมัน จึงสามารถช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายได้ จากการศึกษาในปี 2020 ของอิตาลี พบว่า สารเคมีที่เกิดขึ้นในธรรมชาติที่พบในอัลมอนด์นั้น สามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อการติดเชื้อได้

กานพลู
กานพลูสามารถชะลอการตอบสนองต่อระบบภูมิคุ้มกันและช่วยย่ออาหาร ส่วนผสมหลักในกานพลู มีศักยภาพในการสร้างภูมิคุ้มกัน มีประสิทธิภาพในการต่อต้านแบคทีเรียและไวรัส ในความเป็นจริงแล้วคุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระของกานพลูนั้น สูงกว่าเครื่องเทศ ผักและผลไม้ส่วนใหญ่ ซึ่งคุณสามารถนำกานพลูใส่เพิ่มลงไปในอาหารได้ ทั้งอาหารคาวและอาหารหวาน

ที่มา : www.sanook.com

หากท่านใดต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


7 ผักผลไม้ธรรมชาติขับสารพิษออกจากร่างกาย

ปัจจุบันประเทศไทยเต็มไปด้วยมลพิษต่างๆ มากมาย รวมไปถึงอาหารที่ทานกันในทุกๆ มื้อก็อาจมีสารพิษเจือปนอยู่ได้ และหากร่างกายได้รับสารพิษในปริมาณมาก ก็อาจทำให้ร่างกายอ่อนแอและส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้ ดังนั้นวิธีที่ดีเราจะต้องขับสารพิษออกบ้าง และ 7 ผักผลไม้เหล่านี้มีคุณสมบัติช่วยในการขับสารพิษได้เป็นอย่างดี จะมีอะไรบ้างนั้นตาม si ไปดูกันค่ะ

1.มะละกอ

เริ่มด้วยมะละกอ ผลไม้ที่หลายคนชื่นชอบ มะละกอขึ้นชื่อในเรื่องของการช่วยระบบขับถ่ายให้ทำงานได้อย่างปกติ และยังสามารถป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ โดยสามารถดักจับสารพิษที่จะเข้ามายังบริเวณลำไส้ใหญ่ เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายและลำไส้ใหญ่ทำงานได้อย่างปกติ แต่ทั้งนี้ต้องเป็นมะละกอสุก ไม่ใช่มะละกอดิบในส้มตำ ถึงจะให้คุณประโยชน์เหล่านี้ได้

2.สับปะรด

ต่อด้วยสับปะรด ที่อุดมไปด้วยวิตามินและกากใย ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และมีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยขับสารพิษที่ไม่จำเป็นออกไป นอกจากนี้ยังมีวิตามินซีที่จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงอีกด้วย

3.หัวหอมใหญ่

หลายคนไม่ชอบทานเจ้าหอมใหญ่ แต่คุณรู้หรือไม่! หอมหัวใหญ่มีกรดอะมิโนที่จะช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายและยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างปกติ ใครที่ไม่ชอบทานต้องลองเปิดใจ แล้วจะรู้ว่าดีจริง!

4.แอปเปิล

ผลวิจัยจากประเทศฝรั่งเศส พบว่าแอปเปิล เป็นผลไม้ที่สามารถล้างสารพิษในร่างกายได้มากที่สุด เพราะแอปเปิลอุดมไปด้วยไฟเบอร์ที่จะช่วยในเรื่องขับถ่าย และสามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด อีกทั้งยังมีเบต้าแคโรทีน และวิตามินซีที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้ดี

5.แตงโม

แตงโมก็สามารถขับสารพิษออกจากร่างกายได้เช่นกัน เพราะแตงโมเป็นผลไม้ที่มีส่วนประกอบของน้ำถึง 92% โดยจะช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย และสามารถช่วยขับปัสสาวะได้ ซึ่งสารพิษก็จะถูกขับออกมาได้ง่าย อีกทั้งยังช่วยควบคุมน้ำหนัก เป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับคนที่กำลังลดความอ้วนอย่างยิ่งทีเดียว

6.ขิง

ขิงเป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ โดยจะช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายผ่านเหงื่อ อีกทั้งยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น และยังเหมาะสำหรับการเป็นเครื่องดื่มให้กับผู้สูงอายุ เพราะจะช่วยบำรุงร่างกายได้เป็นอย่างดีนั่นเอง

7.แก้วมังกร

ปิดท้ายด้วยผลไม้สีสันน่าทาน อย่างแก้วมังกร ที่มีฤทธิ์ช่วยขับสารพิษในร่างกายที่เป็นโลหะหนักได้ดี เช่น สารตะกั่ว ยาฆ่าแมลง อีกทั้งยังช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ห่างไกลจากมะเร็ง

สำหรับใครที่มองหาอาหารเพื่อสุขภาพ ที่จะช่วยขับสารพิษและของไม่ดีในร่างกายได้ 7 อาหารที่เรานำมาฝาก หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย เมื่อทานอาหารที่มีประโยชน์แล้ว การป้องกันตัวเองจากสารพิษ เช่น การสวมหน้ากากอนามัย การเลือกทานผักออร์แกนิค ก็จะช่วยให้ร่างกายของคุณแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเยี่ยมเยือนเช่นกัน โดยเฉพาะโรค Covid-19 ที่เราเผชิญกันในปัจจุบันนั่นเอง

ที่มา : www.sanook.com

หากท่านใดต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


คอลลาเจน ใช้อย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด

ก่อนอื่นเลยเราต้องมาทำความรู้จักกับคอลลาเจนกันก่อน จริง ๆ แล้วคอลลาเจนมีอยู่ในร่างกายของเราอยู่แล้วนั่นแหละ เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่พบได้ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะในกระดูก กระดูกอ่อน เอ็นกล้ามเนื้อ ขน เส้นผม และเนื้อเยื่อ ทำหน้าที่เพิ่มความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และความชุ่มชื้นให้กับผิว แต่คอลลาเจนจะเริ่มเสื่อมสลายไปตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ผม ผิว และกระดูกข้อต่อเราเริ่มไม่แข็งแรง การกินอาหารเสริมคอลลาเจนก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยให้เสริมสร้างคอลลาเจนในร่างกายให้กลับคืนมา จริง ๆ แล้วคอลลาเจนมีมากกว่า 16 ชนิด แต่หลัก ๆ ที่จำเป็นก็จะมีอยู่ด้วยกัน 4 ชนิด วันนี้ SI จะพาทุกคนไปรู้จัก 4 ชนิดของคอลลาเจนที่จำเป็นต่อร่างกาย ไปดูกันค่ะ

Collagen Type 1 หรือคอลลาเจนประเภทที่ 1 ที่พบได้ที่ชั้นหนังแท้ เอ็น พังผืด เนื้อกระดูกแข็ง พบได้เฉพาะในสัตว์ชั้นสูงเท่านั้น ฉะนั้นการกินคอลลาเจนประเภทนี้จึงช่วยเรื่องผิวเน้น ๆ ค่ะ

Collagen Type 2 ตัวนี้นี่แหละค่ะที่สำคัญกับกระดูกข้อต่อ เพราะช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ กระตุ้นให้มีการสังเคราะห์เซลล์ใหม่ ช่วยลดอาการปวดข้อ ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้สะดวก การกินคอลลาเจนประเภทนี้จึงช่วยเรื่องข้อโดยตรง

Collagen Type 3 ตัวนี้ก็ส่งเสริมการทำงานบนผิวเช่นกัน แต่พบได้น้อยกว่า เนื่องจากว่าตัวเขาจะอยู่ในเฉพาะผิวใหม่ ผิวเด็ก ผิวที่เป็นแผลที่สร้างใหม่เท่านั้นเอง

Collagen Type 4 ส่วนตัวนี้จะพบได้ในเส้นใยฝอยของเยื่อบุผิวแผ่นบาง ๆ ในบริเวณนอกเซลล์

แล้วใช้อย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า คอลลาเจนโปรตีน เป็นโปรตีนที่มีโครงสร้างโมเลกุลใหญ่มาก ดังนั้นคอลลาเจนไม่สามารถซึมผ่านผิวหนังได้ด้วยการทา ส่วนครีมต่างๆ ที่มีขายตามท้องตลาดที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน ก็จะเป็นการผลักคอลลาเจนให้อยู่ได้แค่ชั้นหนังกำพร้าเท่านั้น แต่เนื่องจากคอลลาเจนมีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ประมาณ 30 เท่าของน้ำหนักตัวมันจึงทำให้ผิวหนังกำพร้าชุ่มชื้น แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยได้อย่างแท้จริง เพราะการเสริมสร้างคอลลาเจน จะต้องเข้าสู่ด้วยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังและการรับประทาน โดยในขณะที่การฉีดจะเสริมคอลลาเจนนั้นก็ได้เพียงเฉพาะที่เท่านั้น เพราะอย่างนั้น “การรับประทานน่าจะเป็นวิธีที่ดีและง่ายที่สุด”

ที่มา : www.wongnai.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


 

6 สมุนไพรตัวเทพตัวช่วยผลิตคอลลาเจน

คอลลาเจน คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่เกิดจากการรวมตัวของ กรดอะมิโน (Amino Acid) หลายชนิดต่อกัน โดยปกติร่างกายมนุษย์จะมีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็น ขน และเส้นผม รวมไปถึงเนื้อเยื่อทั้งหมดในร่างกาย โดยคอลลาเจนจะผลิตได้มากในขณะที่เราอายุยังน้อย และจะค่อยๆ ลดปริมาณการผลิตลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น เมื่อปริมาณคอลลาเจนลดลงก็จะส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่างๆ กับผิวพรรณ เช่น ผิวพรรณขาดความกระชับ หย่อนคล้อย เกิดริ้วรอย และเกิดความหมองคล้ำ จึงทำให้คนส่วนมากเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนมาทดแทนในส่วนที่ขาดหายไปนั่นเอง วันนี้ SI มี 6 สมุนไพรที่ช่วยการผลิตคอลลาเจน จะมีอะไรบ้างนั้นไปดูกันค่ะ

ว่านหางจระเข้ (Aloe) มีส่วนในการรักษาบาดแผลโดยการเพิ่มการผลิตคอลลาเจน

บิลเบอร์รี่ (Bilberry) มีสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยให้คอลลาเจนคงตัว

ดาวเรือง (Calendula) นักวิจัยเชื่อว่าครีมดาวเรืองจะช่วยรักษาแผลและช่วยให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนได้

หญ้าหางม้า (Horsetail) มีซิลิกา (Silica) เป็นองค์ประกอบซึ่งเป็นสารที่ร่างกายต้องการเพื่อผลิตคอลลาเจนและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ

น้ำเต้า (Bottle gourd) มีสารไฟโตเอสโทรเจน (Phytoestrogens) ที่ช่วยป้องกันริ้วรอย อีกทั้งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนด้วย

กวาวเครือขาว มีสารกลุ่มไฟโตเอสโทรเจน (Phytoestrogens) และโครมีน (Chromene) ที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน จากงานวิจัยพบว่า ไฟโตเอสโทรเจนและเอสโตรเจนจะช่วยเพิ่มการสร้างคอลลาเจนที่ชั้นหนังแท้ได้ทั้งในเพศชาย และเพศหญิง

ที่มา : www.honestdocs.co

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


สุขภาพดีสร้างได้ด้วย 5 เคล็ดไม่ลับ

สุขภาพที่ดีใคร ๆ ก็อยากมี แต่วิถีการใช้ชีวิตในปัจจุบันมีสิ่งยั่วยุต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน การเสพสื่อโซเชียล ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นต้นเหตุที่ทำให้สุขภาพของเราแย่ลงทุกวัน วันนี้ SI มี 5 เคล็ดไม่ลับเพื่อสุขภาพที่ดีมาฝากกันค่ะ

1. การเลือกรับประทานอาหาร
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า อาหารเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญต่อร่างกาย การจะเกิดผลดีหรือผลเสียนั้น ขึ้นอยู่กับการเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสม เพราะร่างกายจะนำไปพัฒนาและซ่อมแซมในส่วนต่าง ๆ ควรลดอาหารที่มีแคลอรีสูง ของทอด ปิ้ง-ย่าง หรืออาหารที่มีไขมันเยอะ เพราะหากร่างกายเผาผลาญไม่หมดก็จะกลายเป็นไขมันสะสมในร่างกายในที่สุด ทางที่ดีควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เลือกรับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์

2. บริหารสมอง
การบริหารสมองก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีได้ ลองหาเกมฝึกสมองมาเล่น เช่น เกมอักษรไขว้ เกมจำตำแหน่งภาพ เกมจับผิด เกมซูโดกุ หรือเกมหมากรุกจีน เป็นต้น ควรหันมารับประทานผลไม้พวก ส้ม องุ่น เบอร์รี่ให้มากขึ้นด้วย เพราะผลไม้จำพวกนี้มีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดอาการหลง ๆ ลืม ๆ ได้ หรือการหัวเราะก็ช่วยให้เลือดไหลเวียนดียิ่งขึ้น เพราะร่างกายจะหลั่งสารเคมีในระบบประสาทที่ทำให้ผ่อนคลาย ซึ่งจะส่งผลดีทั้งร่างกาย จิตใจ อีกทั้งคนรอบข้างก็จะมีความสุขตามไปด้วย

3. พักสายตาจากการเสพสื่อโซเชียล
ทุกวันนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหนหรือทำอะไรก็ต้องถ่ายรูป แชร์ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ไม่ให้พลาดเหตุการณ์สำคัญ ๆ ซึ่งถ้าใช้ในปริมาณที่เหมาะสมก็จะให้ผลดีแก่เรา แต่ถ้าใช้มากเกินไปนอกจากจะทำให้เป็นคนติดโซเชียลแล้ว ยังอาจทำให้กล้ามเนื้อดวงตาเมื่อยล้า หรือตาแห้งเพราะต้องคอยจ้องอยู่ที่หน้าจอเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการเบลอ สายตาพร่ามัว หรือสายตาสั้นได้ ทางที่ดีควรพักสายตา และบริหารดวงตาของเราด้วย เช่น กระพริบตา กลอกตาไปมาเพื่อป้องกันตาแห้ง หรือมองไปยังวัตถุที่อยู่ไกล ก็จะช่วยให้ผ่อนคลายดวงตาลงได้ และถ้าลดโซเชียลลงบ้าง ก็จะทำให้ไม่ต้องเครียดจากการเสพข่าว สุขภาพจิตดีขึ้น

4. ออกกำลังกาย
การออกกำลังกายนอกจากจะได้สุขภาพที่ดี เพราะอวัยวะภายในร่างกายจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังทำให้เรามีภูมิต้านทานห่างไกลโรคภัยต่าง ๆ สุขภาพจิตก็ดีตามไปด้วย ควรออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาทีหลังเลิกงาน ลองเดินออกกำลังกายที่สวนสาธารณะใกล้บ้านก็ได้ หรือจะวิ่ง จะแอโรบิค ก็ล้วนแต่ทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่ดีทั้งนั้น แต่หากใครไม่มีเวลาออกกำลังกายจริง ๆ งานบ้านก็อาจจะช่วยได้เหมือนกัน เช่น ทำสวน กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างรถ ก็ถือเป็นการออกกำลังกายไปในตัว ทั้งยังทำให้บ้านสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยอีกด้วย

5. พักผ่อนให้เพียงพอ
เมื่อทำกิจวัตรต่าง ๆ ในแต่ละวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว การพักผ่อนที่ดีที่สุด คือ การนอน เพราะร่างกายจะได้ซ่อมแซมฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่ ควรนอนให้ครบ 8 ชั่วโมงและนอนให้เป็นเวลา เพราะหากนอนดึกเกินไป ร่างกายอาจเหนื่อยล้าได้ อีกทั้งยังมีผลเสียตามมา เช่น มีริ้วรอย เสี่ยงต่อโรคภัยต่าง ๆ ทางที่ดีควรพักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อตื่นขึ้นมารับวันใหม่ ร่างกายจะได้สดชื่นและตื่นตัวตลอดทั้งวัน สุขภาพร่างกายก็จะดีตามไปด้วย

ที่มา : www.krungsri.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


 

7 เคล็ดไม่ลับ! นอนหลับง่ายไม่ต้องพึ่งยา

การนอนสำคัญต่อสุขภาพที่สุด แต่เพราะชีวิตอันแสนวุ่นวาย กับความเครียดที่ถาถมเข้ามาอย่างหนักไม่ว่าจะเป็นปัญหาสุขภาพ การเงิน ครอบครัว เป็นต้น จึงทำให้การนอนกลายเป็นเรื่องยากสำหรับบางคน อาการดังกล่าวยังมีทางออก เพียงลองปรับพฤติกรรมกันดูสักนิด วันนี้ SI มีบทความดีๆ แบบไม่ต้องพึ่งยานอนหลับ ด้วย 7 เคล็ดลับง่าย ๆ ไปดูกันค่ะ

1. สร้างบรรยากาศห้องนอนใหม่
ห้องนอนที่ดีควรจะเงียบไม่มีเสียงรบกวน อุณหภูมิห้องต้องเย็นพอดีและอย่าใช้แสงสว่างจ้าจากหลอดไฟยามดึก ส่วนอุปกรณ์สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาดสำหรับคนนอนหลับยาก เพราะแสงสีฟ้าจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลายจะกดการหลั่งเมลาโทนินออกจากต่อมใต้สมอง ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งการนอน ชะลอวัย และลดความเครียด มีรายงานการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน The Journal of Pineal Research พบว่า แสงสีฟ้าจะทำให้ระดับเมลาโทนินลดลงไปอยู่ระดับเดียวกับช่วงกลางวัน ซึ่งจะทำให้ตาสว่างและนอนหลับยาก

2. ผ่อนคลายตัวเอง
ก่อนนอนสัก 1 – 2 ชั่วโมงลองทำกิจกรรมที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย อย่างการฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อโดยหายใจเข้ายาว ๆ ลึก ๆ และค่อย ๆ ปล่อยลมหายใจออกอย่างช้า ๆ พยายามให้สติกำหนดอยู่กับลมหายใจก็จะได้ผลที่ดีขึ้น และเมื่อจะเอนตัวลงให้เลิกการคิดเรื่อยเปื่อย คิดถึงปัญหา หรือถ้าตัวเองรู้ตัวว่า เริ่มคิดอีกแล้วให้ดึงสติกลับมาและทำใจให้สบาย บอกกับตัวเองว่านื่คือเวลานอน เวลาพักผ่อน ปัญหาทุกอย่างควรสะสางต่อพรุ่งนี้ รวมถึงให้หลีกเลี่ยงสิ่งเร้าที่ทำให้สมองไม่ผ่อนคลาย ได้แก่ ทีวี สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต

3. กินอาหารที่มีแมกนีเซียมสูง
ลองกินอาหารแมกนีเซียมสูงอย่าง ถั่ว เมล็ดธัญพืชต่าง ๆ อะโวคาโด กล้วย โยเกิร์ต มันฝรั่ง ลูกเกด ผักโขม นมถั่วเหลือง เต้าหู้และปลาทูน่า เพราะถ้าร่างกายขาดแมกนีเซียมจะส่งผลต่อระบบประสาทสมองที่ช่วยในการนอนหลับ และควรงดอาหารที่สารกาเฟอีนสูง เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม จะทำให้ระบบประสาทตื่นตัวและนอนไม่หลับ

4. แช่เท้าในน้ำอุ่นก่อนนอน
เป็นวิธีธรรมชาติและเสริมสุขภาพที่ดี เพียงแช่เท้าในน้ำที่อุณหภูมิประมาณ 40 – 50 องศาเซลเซียส แล้วใช้ฝ่ามือถูนวดบริเวณเท้าไปด้วยเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดจะช่วยคลายความอ่อนล้าได้ดี ฉะนั้นการแช่เท้าด้วยน้ำร้อนจะดึงเลือดจากข้างบนมาสู่ข้างล่าง ลดภาวะตึงเครียดของสมอง ทำให้หลับสบาย และไม่ค่อยฝัน

5. กลิ่นลาเวนเดอร์ช่วยบำบัด
กลิ่นหอมจากสมุนไพรธรรมชาติที่สกัดออกมาเป็นน้ำมันหอมระเหยหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “อโรมาเธอราปี” ช่วยให้ความรู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย ลดปฏิกิริยาทางกายที่มีต่อความเครียด น้ำมันหอมระเหยมีหลายชนิดให้เลือกใช้ตามความต้องการ แต่ถ้าเป็นใครมีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ แนะนำให้ใช้น้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ ซึ่งช่วยให้นอนหลับง่าย ปรับอารมณ์ให้เกิดความสมดุลและจิตใจสงบ

6. ปรับอุณหภูมิและเครื่องฟอกอากาศ
เพื่อให้การนอนหลับมีความสบายมากขึ้นควรปรับอุณหภูมิห้องให้อยู่ระหว่าง 17 – 25 องศาเซลเซียส อีกทั้งการใช้เครื่องฟอกอากาศในห้องนอนเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้สมดุลและยังช่วยกำจัดสารก่อภูมิแพ้ที่มีอนุภาคเล็ก เช่น ฝุ่น ขนสัตว์ สปอร์ของเชื้อรา กลิ่นสเปรย์ปรับอากาศ เป็นอีกวิธีที่จะทำให้นอนหลับลึกได้ต่อเนื่อง

7. นอนให้เป็นเวลา
ลองจัดตารางการนอนให้เป็นเวลาเดียวกันทุกคืนจนเป็นกิจวัตร ถ้าทำติดต่อกันภายใน 1 อาทิตย์ ร่างกายก็จะปรับตัวและคุ้นเคยจนทำให้หลับได้ตามเวลานั้น ๆ หรือมีบางกรณีที่นอนแล้วยังไม่หลับนานถึง 30 นาที อย่าเพิ่งฝืนนอนต่อ อย่าโกรธหรือหงุดหงิด และอย่าดูนาฬิกาบ่อย ๆ เพราะจะเป็นการกดดันตัวเองว่า ทำไมยังไม่หลับสักทีและจะทำให้ไม่หลับจริง ๆ ในที่สุด

ที่มา : www.bangkokhospital.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


6 วัคซีน ที่จำเป็นสำหรับผู้ใหญ่ป้องกันก่อนเกิด

หลายคนอาจเข้าใจว่าวัคซีนจำเป็นสำหรับเด็ก แต่ความจริงแล้วการได้รับวัคซีนป้องกันโรคในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่กำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มตัว การป้องกันก่อนเกิดโรคถือเป็นหัวใจสำคัญของการมีสุขภาพที่ดี ทั้งยังช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ที่มีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงมากขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น วันนี้ SI มีบทความดีๆ ของ 6 วัคซีนที่จำเป็นสำหรับผู้ใหญ่มาฝากกันค่ะ

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ (Influenza vaccine)
แนะนำให้ฉีดทุกปี ปีละ 1 ครั้ง เนื่องจากเชื้อไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีโรคหัวใจ โรคหอบหืด โรคถุงลมโป่งพอง โรคเบาหวาน โรคไต โรคเลือด รวมถึงผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน

วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ (Pneumococcal vaccine)
ป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย นิวโมคอคคัส ซึ่งเป็นสาเหตุสําคัญของการติดเชื้อ ปอดอักเสบ และอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อรุนแรงนำไปสู่การเสียชีวิตได้ แนะนำให้ฉีดวัคซีนในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรงได้แก่ ผู้ที่มีผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ผู้ป่วยที่ตัดม้าม ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน โรคหัวใจ โรคหอบหืด โรคถุงลมโป่งพอง โรคตับแข็ง โรคไตวายเรื้อรัง โรคเบาหวาน รวมถึงผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ

วัคซีนบาดทะยัก-คอตีบ-ไอกรน/บาดทะยัก-คอตีบ (Tdap/Td) เข็มรวม
ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุควรฉีดวัคซีนกระตุ้นเพื่อให้มีภูมิคุ้มกันเพียงพอต่อการป้องกันโรคทั้ง3ชนิดนี้ โดยควรฉีดวัคซีน บาดทะยัก-คอตีบ-ไอกรน(Tdap) 1 ครั้งในวัยผู้ใหญ่ หลังจากนั้นฉีด วัคซีนบาดทะยัก-คอตีบ (Td) ทุก 10 ปี

วัคซีนงูสวัด(Zoster vaccine)
แนะนำให้ฉีดในผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไปเนื่องจากเป็นช่วงอายุที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคงูสวัดสูงสุด ผู้ป่วยที่มีอายุ
50 – 59 ปีที่มีความประสงค์จะรับวัคซีนนี้ ควรปรึกษาแพทย์เนื่องจากวัคซีนนี้สามารถป้องกันโรคงูสวัดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในช่วง 5 ปีแรก แนะนำฉีดเพียงครั้งเดียว ไม่ต้องมีการฉีดกระตุ้นซ้ำ

วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A vaccine)
แนะนำฉีดวัคซีนในประชากรกลุ่มเสี่ยงได้แก่ ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง เนื่องจากมีโอกาสสูงในการเกิดโรครุนแรง ผู้ประกอบอาหาร กลุ่มชายรักชาย ผู้ติดยาเสพติด ผู้ที่จะเดินทางไปประเทศที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ โดยฉีดเพียง 1 เข็มสำหรับวัคซีนเชื้อเป็น

วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B vaccine)
เป็นโรคที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อเรื้อรังนำไปสู่ โรคตับแข็งและมะเร็งตับได้ แนะนำฉีดวัคซีนประชากรกลุ่มเสี่ยงต่อการติดโรคนี้ ได้แก่ ผู้ติดยาเสพติด รักร่วมเพศ ผู้ป่วยโรคไตที่ทำการฟอกไต ผู้ป่วยที่รับเลือดบ่อย ผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ โดยฉีดทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งที่ 2 ห่างครั้งแรก 1-2 เดือน ครั้งที่ 3 ห่างครั้งแรก 6 เดือน

ที่มา : www.phukethospital.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


4 สัญญาณอันตรายเมื่อต้องติดซีรีย์ในช่วง Quarantine

ในช่วง Work From Home หรือช่วงที่หยุดงานชั่วคราวแบบนี้ อาจทำให้ใครหลายคนดูซีรีส์ได้ยาวกว่าเดิม แต่อาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพได้มากกว่าตอนที่ออกไปทำงานข้างนอกตามปกติเสียอีก วันนี้ SI มีบทความดีๆ ของ 4 สัญญาณอันตรายที่อาจแฝงมาในช่วงติดซีรีย์มาฝากกันค่ะ

นอนไม่หลับ
อาการนอนไม่หลับเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่การที่เราอดนอนเพื่อดูซีรีส์ข้ามวันข้ามคืน เมื่อเราจะกลับมานอนในเวลาเดิม จะรู้สึกว่านอนหลับได้ยากขึ้น และยังรู้สึกเพลียมากหลังตื่นนอน (นอนหลับก็ยาก ตื่นนอนก็ยาก) หากปล่อยให้ตัวเองใช้ชีวิตผิดเวลาแบบนี้ไปเรื่อยๆ อาจส่งผลต่อการทำงานของสมองในเรื่องของความจำได้อีกด้วย

กระดูกสันหลังผิดปกติ
การนั่งดูซีรีส์อยู่ท่าเดิมเป็นเวลานานอยู่บนโซฟา หรือเก้าอี้ยาวใดๆ อาจไม่ใช่ท่านั่งที่ดีนักเมื่อต้องนั่งไปนานๆ อาจส่งผลต่อกระดูกสันหลังได้ หากยังมีพฤติกรรมเดิมอยู่บ่อยๆ โดยไม่เปลี่ยนท่านั่งให้ถูกต้อง อาจเสี่ยงกระดูกสันหลังเสื่อมเร็วขึ้นได้

โรคอ้วนถามหา
เมื่อเราสิงร่างรวมตัวเข้ากับโซฟา หรือเตียงไปแล้ว (หรือที่ฝรั่งเรียกว่า couch potato ที่แปลว่าคนที่วันๆ นั่งอยู่กับที่ไม่ยอมไปไหน) ก็มีความเสี่ยงมากที่เราจะเสี่ยงโรคอ้วน น้ำหนักขึ้น ไปจนถึงการเพิ่มความเสี่ยงของโรคความดันโลหิต เบาหวาน ไขมันในเส้นเลือดได้

Computer Vision Syndrome
คนส่วนใหญ่รับชมซีรีส์ผ่านคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต โทรศัพท์มือถือ การจ้องหน้าจอนานๆ เป็นการเพิ่มความเสี่ยงกับอาการ Computer Vision Syndrome ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัยที่ใช้คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต โทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานานเกิน 2 ชั่วโมงขึ้นไป และอยู่ในที่มีความสว่างไม่เพียงพอ หรือเกิดจากความสว่างของหน้าจอที่ปรับไว้ไม่เหมาะสมในขณะใช้งาน ทำให้เกิดอาการอาการตาพร่ามัว ล้าตา ตาแห้ง เคืองตา เจ็บตา ปวดรอบดวงตา เห็นภาพซ้อน บางรายอาจมีการปวดศีรษะ ปวดคอ ปวดไหล่ และหลังร่วมด้วย เนื่องจากอยู่ในท่านั่งการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ที่ไม่เหมาะสม หรือเกิดจากค่าสายตาที่ไม่ได้รับการแก้ไข อาทิ สายตายาว สายตาเอียง

ที่มา : www.sanook.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


อาหารเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายในช่วงโควิด

ในสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังมีการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 (COVID-19) ทำให้สร้างความตื่นกลัวไปทั่ว โดยเชื้อไวรัสนี้สามารถแพร่กระจายผ่านละอองน้ำในอากาศได้ หากอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบปิดเป็นระยะเวลานาน และสาเหตุการติดเชื้อส่วนใหญ่ เกิดจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ หรือการหายใจเอาละอองน้ำที่มีเชื้อเข้าไป จึงเป็นต้นเหตุให้ผู้ที่ได้รับเชื้อเกิดปอดอักเสบชนิดรุนแรง และอาจทำให้เสียชีวิตได้ทางที่ดีที่สุดคือการเตรียมพร้อมป้องกันนั่นเอง โดยการใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือบ่อยๆ และควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัดและมีมลภาวะเป็นพิษ รวมถึงพื้นที่ที่อากาศปิดเป็นระยะเวลานาน นอกจากนี้การเตรียมสุขภาพร่างกายให้พร้อม โดยการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ก็เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้เราลดความเสี่ยงและความรุนแรงจากการติดเชื้อนี้ได้

โดยระบบภูมิคุ้มกัน (Immune System) คือ ระบบที่ทำหน้าที่ป้องกันเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอม ที่เป็นอันตรายไม่ให้เข้ามาทำอันตรายต่อร่างกายหรือหากเราได้รับเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมเข้ามาแล้ว ระบบภูมิคุ้มกันก็จะกำจัดสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นให้หมดไปจากร่างกายโดยเร็วและอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการเสริมภูมิคุ้มกันก็ทำได้ด้วยการดูแลรักษาตัวเองเบื้องต้นเพื่อให้สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอเช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารให้ครบหมู่โดยคำนึงถึงสารอาหารที่ควรได้รับอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะในช่วงนี้การเพิ่มสารอาหารในการสร้างระบบภูมิคุ้มกันจึงเป็นเรื่องจำเป็นซึ่ง SI มีบทความดีๆ  เคล็ดไม่ลับในการเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงมาฝาก ง่ายๆ เลยก็คือ การรับประทานวิตามินและสารอาหารที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

1 วิตามินซี (Vitamin C)
ข้อมูลจากงานวิจัยทางการแพทย์ พบว่าวิตามินซีมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้าน รวมถึงการเสริมสร้างความแข็งแรงของภูมิต้านทานต่อโรคติดเชื้อ มีรายงานว่าผู้ที่มีระดับวิตามินซีในร่างกายสูงจะหายจากการเจ็บป่วยบางชนิดเช่นไข้หวัด และการติดเชื้อไวรัสได้เร็วกว่าคนที่ไม่ได้รับวิตามินซีเสริม โดยวิตามินซีจะพบมากในอาหารประเภทผัก ผลไม้สด โดยเฉพาะผลไม้กลุ่ม Citrus fruits ได้แก่ส้ม มะนาว เกรปฟรุต รวมถึงผักบางชนิดเช่น บรอคโคลี่ กะหล่ำต่างๆ และมะเขือเทศ

2 กระเทียม (Garlic)
มีงานวิจัยทางการแพทย์ยืนยันชัดเจน ถึงคุณสมบัติของสารอัลลิซิน (Allicin) ในกระเทียมที่สามารถต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสและเชื้อโรคอีกหลายชนิด ทั้งยังช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น เม็ดเลือดขาว และเม็ดเลือดแดงทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ระบบภูมิต้านทานแข็งแรงขึ้น มีข้อมูลที่บ่งชี้ชัดเจนว่าผู้ที่รับประทานกระเทียมเป็นประจำ จะมีโอกาสป่วยลดลงและหายจากอาการป่วยด้วยโรคติดเชื้อเร็วขึ้น

3 เอ็กไคนาเซีย (Echinacea)
เอ็กไคนาเซียเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งเป็นสมุนไพรที่ช่วยการฟื้นฟูภูมิคุ้มกัน เพิ่มภูมิต้านทาน จากงานวิจัยพบว่าเอ็กไคนาเซียมีคุณสมบัติยับยั้งการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส นอกจากนี้ช่วยกระตุ้นส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่มีตามธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกายซึ่งก็คือ เซลล์แมคโครฟาจ (Macrophage) และเซลล์ภูมิต้านทานชนิด NK Cell (Natural Killer Cell) ซึ่งเมื่อมีเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในร่างกาย เซลล์แมคโครฟาจในเม็ดเลือดขาว จะเป็นปราการด่านแรกในการทำลายเชื้อโรค ทำให้กำจัดเชื้อโรค และสิ่งแปลกปลอมในร่างกายได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนเซลล์ภูมิต้านทานชนิด NK Cell ทำให้ระบบภูมิต้านทานโรคกำจัดเชื้อโรคได้เร็วขึ้นกว่าปกติ

ที่มา : พญ.อนงนุช ชวลิตธำรงค์

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน