ดอกกุหลาบไอเท็มยอดฮิตที่ไม่ได้มีดีแค่วาเลนไทน์

เทศกาลแห่งความรัก เป็นอีกวันหนึ่งที่หลายๆ คนรอคอย แล้วถ้าพูดถึงวันแห่งความรักแล้ว ดอกกุหลายเป็นอีกหนึ่งไอเท็มที่เป็นของคู่กัน เพราะนอกจากจะใช้สื่อรักแทนในวันวาเลนไทน์แล้ว ดอกกุหลายยังมีสรรพคุณดีงามที่หลายๆ คนคาดไม่ถึงอีกด้วย จะเป็นอย่างไรนั่น วันนี้ SI พาทุกคนไปชมกันค่ะ

1. ช่วยคลายเครียด

กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกกุหลาบมีอานุภาพทำลายล้างความวิตกกังวล ความเครียด และความเศร้าหมองในจิตใจเราได้ พร้อมกับช่วยให้อาการวิงเวียนศีรษะ ปวดศีรษะดีขึ้น เคยได้ยินคำว่าดอกไม้บำบัดกันไหมล่ะค่ะ ดอกกุหลายก็เป็นดอกไม้บำบัดชนิดหนึ่งเหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเวลาได้กลิ่นดอกกุหลาบแล้วร่างกายจะรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น หรือถ้านำกลีบกุหลาบไปผสมกับน้ำอุ่นในอ่างอาบน้ำแล้วลงไปแช่ ก็ช่วยให้จิตใจสงบ สยบความฟุ้งซ่านได้เยอะเลย

2. ควบคุมฮอร์โมนเพศหญิงได้

กลิ่นกุหลาบมีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ในเพศหญิง สามารถช่วยควบคุมระดับฮอร์โมนผู้หญิงให้อยู่ในสภาวะสมดุลได้ ซึ่งด้วยสรรพคุณของดอกกุหลาบในด้านนี้ เราจึงมักจะเห็นเครื่องสำอางชนิดต่าง ๆ มีส่วนผสมของน้ำมันสกัดจากดอกกุหลาบ โดยเฉพาะในครีมบำรุงผิวเพื่อลดริ้วรอย หรือครีมกระชับผิวให้เต่งตึง หรือครีมบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น เป็นต้น

3. แก้ไข้ตัวร้อน

น้ำดอกไม้เทศ หรือการละลายน้ำมันสกัดจากดอกกุหลาบในน้ำต้มสุก เป็นสูตรยาแก้ไข้ตัวร้อนของไทยมาช้านาน โดยสรรพคุณแผนโบราณของดอกกุหลาบมอญมีฤทธิ์แก้ไข้ตัวร้อน แก้กระหาย แก้อ่อนเพลีย และบำรุงกำลัง

4. กระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย

ชาดอกกุหลาบอุดมไปด้วยวิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มไซโคปีน ซึ่งได้จากสารสีแดงจากกลีบดอกกุหลาบนั่นเอง ดังนั้นการดื่มชาดอกกุหลาบอุ่น ๆ จึงทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากสารเหล่านี้ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ยิ่งถ้าหากผสมน้ำผึ้งซึ่งมีสรรพคุณแก้อักเสบด้วยแล้ว ชากุหลาบน้ำผึ้งแก้วนี้จะได้ประโยชน์ต่อสุขภาพแบบทวีคูณเลยล่ะค่ะ

5. เป็นยาระบาย

สรรพคุณดอกกุหลาบด้านนี้เชื่อว่าหลายคนได้ลองมากับตัวเองแล้ว เอาเป็นว่าคราวนี้ลองมาศึกษาฤทธิ์ทางเคมีของดอกกุหลาบในด้านช่วยระบายกันบ้างค่ะ โดยสารสำคัญที่ได้จากน้ำมันหอมระเหยดอกกุหลาบมีฤทธิ์ผ่านกลไกหลักของระบบขับถ่าย โดยเพิ่มสัดส่วนของน้ำในระบบลำไส้ ส่งผลให้อุจจาระมีความเหลวมากขึ้น อุจจาระจึงอยู่ในสภาวะพร้อมจะถูกขับถ่าย ก่อให้เกิดอาการมวน ๆ ท้องอยากเข้าห้องน้ำนั่นเอง โดยเฉพาะคนที่ดื่มเป็นชากุหลาบแบบใส่นม ก็จะขับถ่ายคล่องมากขึ้นด้วยนะคะ

6. บรรเทาอาการปวด

สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เผยผลการศึกษาทางคลินิกของฤทธิ์บรรเทาปวดจากเปลือกผลกุหลาบ โดยศึกษาสรรพคุณของกุหลาบพันธุ์ Rosa canina L (rose- hip powder; RHP) เทียบกับยาหลอก กับอาสาสมัครซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคกระดูกและข้ออักเสบจำนวน 30 คน เป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งจากการทดลองพบว่า 90% ของผู้ป่วยที่ได้รับสารสกัดจากเปลือกผลดอกกุหลาบ RHP มีอาการปวดลดลง อาการแข็งแกร็งและความไม่สบายตัวลดลง ที่สำคัญผลทางการรักษาดังกล่าวยังคงอยู่เป็นเวลาถึง 3 สัปดาห์หลังจากการหยุดใช้ยา RHP

และในส่วนของผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกนั้น มีเพียง 36% ที่อาการปวดลดลง ที่สำคัญ การใช้สารสกัดจากเปลือกผลกุหลาบยังช่วยลดการใช้ยาแก้ปวดในกลุ่มพาราเซตามอล ยาแก้ปวดโคเดอีน และยาแก้ปวดทามาดอลอย่างเห็นได้ชัดเจน จึงสรุปได้ว่า สารสกัดจากเปลือกผลกุหลาบ RHP สามารถบรรเทาอาการปวดของผู้ป่วยโรคกระดูกและข้ออักเสบได้ อีกทั้งยังช่วยลดการใช้ยาของผู้ป่วยได้จริง

7. ชากุหลาบช่วยลดน้ำหนักได้ !

ใบกุหลาบและยอดใบชาที่ผสมกันจนเป็นชากุหลาบ ถือว่าเป็นสุดยอดชาที่ช่วยบำบัดอาการติดขัดต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์ ทั้งช่วยบรรเทาอาการท้องผูก ช่วยลดการอักเสบของผิว และยังช่วยขับพิษออกจากร่างกายได้อีกด้วย เนื่องจากในชากุหลาบอุดมไปด้วยวิตามิน A, B3, C, D และ E ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดูแลผิวพรรณ รวมทั้งมีสารที่ช่วยเบิร์นไขมัน ทำให้ลดน้ำหนักได้เร็วขึ้นด้วยจ้า

ประโยชน์จากดอกกุหลาบที่มีต่อสุขภาพบอกเลยว่าไม่ธรรมดา แต่อย่างไรก็ดี ดอกกุหลาบที่เราจะดม หรือจะนำมาทำอาหาร เครื่องดื่ม คงต้องตรวจสอบให้ดีด้วยว่าดอกกุหลาบนั้นเป็นดอกกุหลาบปลอดสารพิษ หรืออย่างน้อย ๆ ก็ต้องสะอาดปลอดภัยในระดับหนึ่งนะคะ ซึ่งถ้าไม่ได้ปลูกดอกกุหลาบเอง จุดนี้อาจเป็นการเสี่ยงทายเกินไปว่าดอกไหนปลอดภัยดอกไหนอาจมีพิษ ดังนั้นอาจเลือกซื้อชากุหลาบแบบผงมาชงดื่มคงสะดวกกว่า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


ป้องกันเชื้อโรคได้ง่ายแค่ล้างมือให้สะอาด

การล้างมือ  นอกจากช่วยให้มือนุ่ม ชุ่มชื้น น่าจับแล้ว สาเหตุที่เจลล้างมือกลายเป็นของหายากอย่างทุกวันนี้ ก็เป็นเพราะว่า เจลล้างมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ปริมาณ 60% ขึ้นไป จะสามารถยับยั้งเชื้อโรคได้หลายชนิดครับ เช่น เชื้อรา เชื้อไข้หวัดใหญ่ เชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (สาเหตุของโรคเริม) เชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี เชื้อวัณโรค เชื้อเอชไอวี เป็นต้น นอกจากนี้ ในเจลล้างมือก็จะมีส่วนผสมของสารแต่งกลิ่นต่าง ๆ ให้มีความหอม น่าใช้มากขึ้นนั่นเองครับ

การล้างมือที่ถูกต้อง นอกจากช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อไวรัสโคโรน่าแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคติดเชื้ออีกจำนวนมากที่แพร่กระจายได้ง่ายด้วยการสัมผัส ซึ่งโรคที่พบบ่อยคือ โรคติดเชื้อทางเดินอาหารเช่นโรคอุจจาระร่วง หรือโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ อย่าง ไข้หวัดและโรคปอดบวม

และนี่คือขั้นตอนการทำความสะอาดมือที่ได้ประสิทธิภาพ ทุกขั้นตอนให้ทำ 5 ครั้ง สลับกันทั้ง 2 ข้าง

1. ฟอกฝ่ามือถูกัน
2. ฟอกง่ามนิ้วด้านหลังฝ่ามือ
3. ฟอกง่ามนิ้วด้านหน้าฝ่ามือ
4. ฟอกนิ้วมือและข้อนิ้วมือด้านหลังฝ่ามือ
5. ฟอกนิ้วและโคนนิ้วหัวแม่มือ
6. ถูปลายนิ้วมือทั้งสองข้างบนฝ่ามือ
7. ฟอกบริเวณรอบข้อมือ

ที่มา : kapook.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


แอลกอฮอล์เจล จำเป็นแค่ไหน?

ในช่วงนี้ไวรัสกำลังระบาดกันอย่างหนัก แอลกอฮอล์เจลล้างมือเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ถูกแนะนำต่อๆ กันมาว่าให้พกติดตัวเอาไว้ใช้ทำความสะอาดมือก่อนหยิบจับสิ่งของต่างๆ และหยิบอาหารเข้าปาก ให้คุณสามารถทำความสะอาดมือได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องใช้น้ำเปล่าล้างมือซ้ำ แต่เจลล้างมือเหล่านี้ปลอดภัยต่อร่างกาย และสามารถกำจัดเชื้อโรคบนมือได้ดีเท่ากับการล้างมือด้วยน้ำเปล่าหรือไม่? แอลกอฮอล์เจลล้างมือ เป็นผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดมือแบบไม่ต้องล้างน้ำที่มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์และแบคทีเรีย

ทำไมต้องใช้แอลกอฮอล์เจลล้างมือ

แอลกอฮอล์เจลล้างมือเป็นผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดมือสำหรับใช้ในกรณีไม่สะดวกในการล้างมือด้วยน้ำและสบู่ ซึ่งเป็นวิธีทำความสะอาดที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการรับเชื้อโรคที่มือไปสัมผัสโดนโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาจทำให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายและนำไปสู่การเกิดโรคได้ในภายหลัง ปัจจุบันจึงมักพบเห็นเจลล้างมือตามโรงพยาบาล สถานพยาบาล สถานที่มีคนอยู่อย่างหนาแน่น หรือบางคนอาจพกติดตัวไว้ในกระเป๋า อย่างไรก็ตาม หากมือเลอะคราบสกปรก ปนเปื้อนเลือดหรือของเหลวในร่างกายจากคนอื่นอย่างเห็นได้ชัดก็ควรหลีกเลี่ยงที่จะใช้เจลล้างมือ แต่ควรใช้การล้างมือด้วยน้ำและสบู่แทน

แอลกอฮอล์เจลล้างมือจำเป็นจริงหรือไม่ ?

ความสะดวกสบายในการใช้งานและคุณสมบัติในการป้องกันเชื้อโรคของแอลกอฮอล์เจลที่มักพบเห็นในโฆษณาทำให้คนนิยมใช้อย่างแพร่หลาย บางคนใช้จนกลายเป็นความเคยชินในชีวิตประจำวัน แท้จริงแล้วเจลล้างมือที่ใช้กันอยู่เป็นประจำมีความจำเป็นหรือใช้ทดแทนการล้างมือได้มากน้อยแค่ไหน

การล้างมือ และการใช้เจลล้างมือมีความสำคัญทั้งคู่ โดยการล้างมือจัดเป็นวิธีทำความสะอาดหลักที่ควรใช้เป็นวิธีแรก และการใช้เจลล้างมือเป็นเสมือนวิธีเสริมในบางสถานการณ์ที่ไม่สะดวกจะใช้น้ำและสบู่ อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพในการขจัดเชื้อโรคและความปลอดภัยของส่วนผสมในเจลล้างมือยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในหลายด้าน ซึ่งในทางการแพทย์ยังแนะนำว่า เจลล้างมืออาจเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อในกรณีที่ไม่สะดวกในการล้างมือด้วยน้ำ แต่ยังไม่สามารถทดแทนการล้างมือได้

ข้อดีและข้อควรระวังของการใช้แอลกอฮอล์เจลล้างมือ

สะดวกสบายในการล้างมือโดยไม่ต้องใช้น้ำ พกพาได้ง่าย หยิบใช้ได้สะดวกตามต้องการ เนื่องจากเจลล้างมือถูกผลิตออกมาหลายรูปแบบ เพื่อตอบสนองการใช้งานที่แตกต่างกัน
ทำความสะอาดได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้เวลาต่อครั้งเพียง 20- 30 วินาที ซึ่งน้อยกว่าการล้างมือแบบปกติ และมีขั้นตอนไม่ซับซ้อน
ป้องกันการแห้งกร้านของผิวหน้ง เนื่องจากมักมีสารให้ความชุ่มชื่นและอาจก่อให้เกิดการระเคืองน้อยกว่าการใช้สบู่และน้ำ
ประสิทธิภาพในการปกป้องและยับยั้งเชื้อโรคดีกว่าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดทั่วไป
ข้อควรระวังหรือความเสี่ยงบางประการในการใช้เจลล้างมือ

ประสิทธิภาพของเจลล้างมืออาจลดลงเมื่อใช้ไม่ถูกวิธี เช่น ใช้แอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นต่ำกว่า 60% หรือถูเจลล้างมือไม่ทั่วถึง
ปริมาณในการใช้เจลล้างมือควรมีความเหมาะสม ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป หากระหว่างการใช้เจลล้างมือแล้วพบว่าเนื้อเจลแห้งในเวลาไม่ถึง 15 วินาที บ่งชี้ให้เห็นว่า เจลล้างมือที่ใช้มีปริมาณน้อยเกินไป และอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรค
เจลล้างมือไม่สามารถช่วยกำจัดสารเคมีได้่ เช่น ยาฆ่าแมลง โลหะหนัก รวมถึงเชื้อโรคบางชนิดอย่างเชื้อโนโรไวรัส (Norovirus)
ควรระมัดระวังการใช้เจลล้างมือกับเด็กเล็ก เพราะอาจเกิดอันตรายได้ง่ายจากการกลืนโดยไม่ตั้งใจ
กรณีที่มือสกปรกมาก มีความเปียกชื้นสูง หรือมีความมัน เช่น หลังการเล่นกีฬา ทำสวน หรือจับอาหาร เจลล้างมืออาจไม่มีประสิทธิภาพในการขจัดเชื้อโรคได้เพียงพอ
การใช้เจลล้างมืออย่างถูกต้อง

ที่มา : pobpad.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


รู้ทันโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่และวิธีรับมือ

โคโรนาไวรัส (Coronavirus: CoV) เป็นไวรัสกลุ่มใหญ่ที่พบได้ทั้งในคนและในสัตว์ ถูกแยกเชื้อออกมาได้ครั้งแรกเมื่อ 55 ปีก่อน โดยนักไวรัสวิทยาชาวอังกฤษในปี 1965 หน้าตาของไวรัสกลุ่มนี้เมื่อส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน (รูปที่ 1) จะเห็นเป็นรูปวงกลมที่มีก้านยื่นออกมารอบตัวเหมือนมงกุฎ (crown) หรือรัศมีของดวงอาทิตย์ จึงเป็นที่มาของชื่อ Corona

โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ พบครั้งแรกในเมืองอู่ฮั่นของจีน เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเจ้าของร้าน ลูกจ้าง หรือลูกค้าที่เคยมาซื้อของที่ตลาดอาหารทะเล Huanan ใจกลางเมืองอู่ฮั่น

วิธีป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

          1. หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัดและมีมลภาวะเป็นพิษ
          2. ไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยที่ไอ หากเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมใส่หน้ากากอนามัยป้องกัน
          3. หลีกเลี่ยงการเข้าไปตลาดค้าสัตว์มีชีวิต การสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่ป่วย หรือตาย
          4. หลีกเลี่ยงการกินสัตว์แปลกๆ หรือเนื้อสัตว์ที่ไม่สุก
          5. ไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก ถ้าไม่จำเป็น
          6. หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ำและสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ
          7. ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เพราะไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ
          8. รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
          9. ถ้ามีอาการไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ให้สวมหน้ากากอนามัย และรีบไปพบแพทย์ทันที

ที่มา : tqm.co.th

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


ฝุ่น PM 2.5 ที่มีผลกับสมอง

ฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 กลายเป็นอีกหนึ่งมลพิษที่อยู่คู่กับคนไทยอย่างยาวนานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะสาเหตุหลักสำคัญเกิดจากการกระทำของมนุษย์ ดังนั้นเมื่อเรายังต้องเผชิญ สิ่งที่จะทำได้คือการรู้เท่าทันความอันตราย หลีกเลี่ยงและระมัดระวังการใช้ชีวิต เพื่อให้มีผลกระทบเชิงลบต่อร่างกายน้อยที่สุด วันนี้ SI มีบทความดีๆ ของฝุ่น PM 2.5 ที่มีผลกับสมองในช่วงวัยต่างๆ ที่เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับหลายคนๆ มาฝากกันค่ะ

มีผลกระทบต่อเด็ก

ในเด็กมีหลายงานวิจัยที่ยืนยันถึงความสัมพันธ์ของระดับ PM 2.5 ต่อความผิดปกติทางด้านพัฒนาการทางสติปัญญา อาทิเช่น มีสติปัญญาด้อยลง, การพัฒนาการช้าลง, มีปัญหาการได้ยินและการพูด รวมทั้งยังมีผลทำให้เกิดภาวะสมาธิสั้น  และภาวะออทิซึม เพิ่มมากขึ้นถึง 68%

มีผลกระทบต่อผู้ใหญ่

ในผู้ใหญ่พบว่า การได้รับฝุ่น PM 2.5 ทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์เพิ่มมากขึ้นถึง 3 เท่า และทำให้เกิดโรคพาร์กินสันเพิ่มได้ถึง 34% (Fu, 2019) รวมทั้งยังทำให้เกิดความเสี่ยงของโรคเส้นเลือดสมอง เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยทุก ๆ 10 μg/m3 ของระดับ PM2.5 ที่เพิ่มขึ้น จะเพิ่มความเสี่ยงของโรคเส้นเลือดสมองประมาณ 13% ถ้าได้รับฝุ่นจิ๋วในระดับความเข้มข้นที่เพิ่มมากขึ้น ความเสี่ยงก็จะเพิ่มมากขึ้น โดยในกลุ่มคนที่เป็นโรคเส้นเลือดสมองอยู่แล้ว การได้รับ PM 2.5 ยังเป็นการเพิ่มอัตราการตายในคนกลุ่มนี้อีกด้วย

มีผลกระทบต่อคนที่ออกกำลังกาย

คนที่ออกกำลังกายในสถานที่ที่มีฝุ่น PM2.5 จำนวนมาก จะทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพสมอง และเพิ่มอัตราการเกิดโรคเส้นเลือดสมอง การรับประทานผักและผลไม้ จะช่วยลดผลกระทบของฝุ่นจิ๋วต่อร่างกายได้ เนื่องจากผลของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีในผักและผลไม้

มีผลกระทบต่อคนที่เป็นไมเกรน

ในกลุ่มคนที่เป็นโรคปวดศีรษะไมเกรน ซึ่งสมองจะมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นมากกว่าคนปกติ ฝุ่น PM2.5 รวมทั้งมลพิษในอากาศชนิดอื่น ๆ สามารถเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงขึ้นมาได้ โดยพบว่าในช่วงเวลาที่มีฝุ่นขนาดจิ๋วอยู่ในระดับสูง เช่น ฤดูหนาว จะพบคนที่เป็นไมเกรนเกิดอาการปวดศีรษะรุนแรง จนต้องไปพบแพทย์เพื่อฉีดยาที่ห้องฉุกเฉินเพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงปกติประมาณ 4 – 13%

ที่มา : bangkokhospital.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


ผลเสียต่อสุขภาพ เมื่อขาดวิตามิน

ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ คำพูดง่ายๆ ที่อาจไม่ง่ายสำหรับใครหลายคน ด้วยไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ค่อนข้างเร่งรีบ ทำให้อาหารฟาสฟู้ดเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของหลายคน ทำให้สารอาหารที่ได้รับไม่เพียงพอ อีกหนึ่งสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย นั่นก็คือ วิตามิน หลายคนเลือกที่จะรับประทานวิตามินเสริม ซึ่งสามารถช่วยได้ในระดับหนึ่ง ทุกคนทราบมั๊ยคะว่าหากร่างกายได้รับวิตามินที่สำคัญๆ ไม่ครบ ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้น และในระยะยาวได้เช่นกัน วันนี้ SI มีบทความดีๆ มาฝากกันค่ะ

วิตามินเอ
วิตามินเอ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น มีความสำคัญกับระบบสืบพันธุ์ ผิวพรรณ เสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน หากขาดวิตามินเอ จะส่งผลให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำ มองเห็นได้ยากในตอนกลางคืน ผิวหยาบกร้าน และเยื่อบุตาแห้ง

แอลฟาแคโรทีน และเบต้าแคโรทีน
แอลฟาแคโรทีน และเบต้าแคโรทีน เป็นสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีบทบาทสำคัญในการป้องกันมะเร็ง ช่วยยับยั้งสารต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง เสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และป้องกันโรคต้อกระจก หากขาดแอลฟาแคโรทีน และเบต้าแคโรทีน อาจไม่ได้ส่งผลร้ายอะไรโดยตรงมากนัก แต่โอกาสที่จะมีภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง และโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง หลอดเลือดแดงแข็ง และต้อกระจกก็อาจจะมากกว่าผู้ที่ได้รับแอลฟาแคโรทีน และเบต้าแคโรทีนอย่างเพียงพอ

วิตามินบี 12
วิตามินบี 12 ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงป้องกันโรคโลหิตจาง ลดระดับสารโฮโมซิสเทอีนในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ และช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท และสมอง หากขาดวิตามินบี 12 นอกจากจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคโลหิตจางแล้ว การทำงานของระบบประสาท และสมองก็อาจลดน้อยลงด้วย

วิตามินซี
สาวๆ หลายคนน่าจะรู้จักวิตามินซีกันดี เพราะมีส่วนช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อต่างๆ รักษาบาดแผล และช่วยสังเคราะห์คอลลาเจนที่ผิว ดังนั้นจึงเป็นส่วนผสมของครีมบำรุงผิว รวมถึงอาหารเสริมสำหรับบำรุงผิวมากมาย แต่นอกจากเรื่องความสวยความงามแล้ว วิตามินซียังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร และช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย หากขาดวิตามินซี นอกจากการทำงานของระบบภูมิคุ้นกันจะลดน้อยลงแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคลักปิดลักเปิด (เลือดออกตามไรฟัน) ผิวซีด แผลหายยาก และอ่อนเพลียง่ายอีกด้วย

วิตามินดี
วิตามินดีช่วยเพิ่มการดูดซึมของแคลเซียมจากลำไส้ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ป้องกันการสูญเสียแคลเซียมไปทางไต ลดความเสี่ยงของกระดูกเปราะหักง่าย วิตามินดีไม่ใช่วิตามินที่ร่างกายของคนไทยขาดกันง่ายๆ เพราะร่างกายสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้จากแสงแดด ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่มีแสงแดดตลอดปีอยู่แล้ว แต่กลับพบว่าคนไทยพร่องวิตามินดีเกือบครึ่ง จากวิถีชีวิตในเมืองที่อยู่ในตึกตลอดเวลา และการหลบเลี่ยงแสงแดด หากพบว่าร่างกายขาดวิตามินดี อาจเสี่ยงต่อภาวะกระดูกเปราะหักง่าย และในผู้สูงอายุ และหญิงวัยหมดประจำเดือน อาจมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม และภาวะซึมเศร้าได้

วิตามินอี
วิตามินอีมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ และสมอง เพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวหนัง และลดริ้วรอยแก่ก่อนวัย ปกติแล้วร่างกายไม่ค่อยขาดวิตามินอีจากการทานอาหาร แต่อาจมีปัญหาจากการดูดซึมไขมัน เช่น การทำงานของตับ ตับอ่อน และลำไส้ผิดปกติ และอาจใช้เวลานานกว่าร่างกายจะเริ่มส่งสัญญาณบอก เช่น สูญเสียการรับสัมผัส และการตอบสนองต่อสิ่งเร้า สูญเสียความรู้สึกทางกาย กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีปัญหาในการกลอกตา หรือทรงตัวได้ยาก รวมไปถึงปัญหาผิวหยาบกร้าน เป็นต้น

ไลโคปีน
ไลโคปีนช่วยให้ผิวทนต่อแสงแดด ลดอาการผิวไหม้แดด ช่วยให้ผิวเรียบเนียน ไม่หยาบกร้าน ลดการเกิดริ้วรอย และสำหรับคุณผู้ชาย จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากด้วยหากขาดไลโคปีน อาจทำให้ความแข็งแรงของผิวที่สามารถทนต่อแสงแดดได้น้อยลง และอาจมีความเสี่ยงที่เซลล์จะเสื่อมลงเร็วยิ่งขึ้น

ทองแดง
ทองแดงช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ ป้องกันภาวะเลือดจาง ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้มากขึ้น และช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ หากขาดทองแดง อาจทำให้ร่างกายเจริญเติบโตได้ช้าลง มีความเสี่ยงต่ออาการโลหิตจาง อาจทำให้เอนไซม์บางตัวทำงานได้ไม่เต็มที่ จนอาจเกิดอาการเจ็บป่วยตามมาได้

สังกะสี
สังกะสีช่วยสร้างเซลล์ผิวหนัง สร้างอิลาสตินที่ช่วยให้ผิวยืดหยุ่น ช่วยส่งเสริมการสร้างน้ำย่อยโปรตีนในกระเพาะอาหาร ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเสริมสร้างการเจริญเติบโต และความตื่นตัวของสมองอีกด้วย หากขาดสังกะสี อาจทำให้ผมร่วงง่าย ผิวหนังฟกช้ำได้ง่าย เป็นแผลแล้วหายช้า ผิวหนังอักเสบ ระคายเคือง ขาดความชุ่มชื้น และประสาทรับรสเริ่มด้อยประสิทธิภาพ จากการสังเกตร่างกายของตัวเอง บวกกับการเจาะเลือดเพื่อตรวจปริมาณวิตามินในร่างกายกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อาจทำให้เราทราบว่าเราควรทานอาหารชนิดใดเพื่อเสริมเพิ่มในส่วนของวิตามินที่ขาดหาย หรือมีวิตามินชนิดใดมากเกินไปหรือไม่

ทั้งนี้ การจะทราบว่าตัวเองกำลังขาดวิตามินใดที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกายบ้าง ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทำการตรวจสุขภาพ และวัดผลให้ชัดเจน ก่อนหาซื้อวิตามินมาทานเอง

ที่มา : sanook.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


น้ำประปาเค็ม มีโซเดียมสูง ผู้ป่วยโรคไตควรเลี่ยง

กรมอนามัย แจงยังดื่มน้ำประปาได้ แม้มีรสกร่อย ไม่ก่อปัญหาโซเดียมเกิน ส่วนผู้ป่วยโรคไตไม่ควรรับโซเดียมเพิ่มเลย แนะอาจซื้อน้ำขวดดื่มแทนก่อน

น้ำเค็ม เพราะภัยแล้ง
พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวถึงกรณีภาวะแล้งน้ำทะเลหนุนสูง ทำให้เกิดปัญหาน้ำประปาเค็ม จนมีข้อแนะนำให้ดื่มน้ำขวดแทนไปก่อน โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้เป็นโรคไต เพราะอาจรับโซเดียมมากเกินไป ว่า ผู้ที่บริโภคน้ำประปาเป็นประจำอาจจะรับรู้ถึงรสชาติที่เปลี่ยนไปจากปกติในบางครั้ง โดยความเค็มดังกล่าวมาจากเกลือโซเดียมคลอไรด์หรือเกลือแกงที่ใช้ปรุงอาหาร ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดค่าแนะนำเพื่อความน่าดื่มและการยอมรับของผู้บริโภคไว้

โซเดียมสูง ทำให้น้ำประปากร่อย
ในน้ำประปา ควรมีโซเดียมไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อลิตร และคลอไรด์ไม่เกิน 250 มิลลิกรัมต่อลิตร แต่ถ้าเจือปนในน้ำมากเกินไปจะทำให้น้ำมีรสกร่อยถึงเค็มได้ ซึ่งทางโภชนาการและการแพทย์แนะนำว่า มนุษย์ควรรับโซเดียมเข้าสู่ร่างกายไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน โดยปัจจุบันน้ำประปามีโซเดียมประมาณ 100-150 มิลลิกรัมต่อลิตร จึงเป็นไปไม่ได้ที่คนปกติจะดื่มน้ำประปาจนได้รับโซเดียมเกินกว่าที่กำหนด

น้ำประปาโซเดียมสูง อันตรายต่อสุขภาพผู้ป่วยโรคไต
ความเค็มจากน้ำประปาอาจเพิ่มโซเดียมเข้าสู่ร่างกายต่อวันในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ แต่อาจจะส่งผลต่อกลุ่มเสี่ยงที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษคือกลุ่มผู้ป่วยโรคไต เพราะหากดื่มน้ำประปาที่มีความเค็มจะทำให้ได้รับโซเดียมเพิ่มขึ้นจากปกติได้ ดังนั้น ในช่วงน้ำประปาเค็ม กลุ่มผู้ป่วยโรคไตที่รับบริการฟอกไตที่โรงพยาบาลไม่ต้องกังวล เนื่องจากโรงพยาบาลทุกแห่งมีระบบการกรองแบบ Reverse Osmosis (RO) ที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพ มั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัย

สำหรับคนปกติทั่วไป การดื่มน้ำกร่อยอาจได้รับโซเดียมเพิ่มเติมจากปกติ จึงควรลดปริมาณสารปรุงแต่งอาหารที่มีความเค็มลง เช่น เกลือ น้ำปลา ซีอิ้ว ซอสปรุงรส ผงปรุงรส งดการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น ขนมกรุบกรอบ มันฝรั่งทอด หรือเปลี่ยนเป็นใช้น้ำดื่มบรรจุขวด ปิดสนิทแทนจะดีกว่า และยังส่งผลดีต่อสุขภาพด้วย

“คนปกติทั่วไปไม่มีอะไรน่ากังวล เพราะไตทำงานปกติ สามารถขับของเสียออกมาได้ แต่ที่ต้องกังวลคือ ผู้ป่วยโรคไต เนื่องจากไตทำงานได้น้อยลง การกำจัดเกลือก็จะน้อยตามไปด้วย และมีความเสี่ยงภาวะไตวายได้ ดังนั้น ผู้ป่วยโรคไตไม่ควรรับเกลือเข้าสู่ร่างกายอยู่แล้ว อย่างคนทั่วไปรับได้วันละไม่เกิน 1 ช้อนชา ผู้ป่วยไตต้องน้อยกว่านั้นมาก ๆ อย่างแพทย์จะแนะนำเลยว่า ไม่ควรกินของเค็ม แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพไตของแต่ละบุคคล” พญ.พรรณพิมล กล่าว

ผู้ป่วยโรคไตควรต้องเลี่ยงดื่มน้ำประปา หรืออาจใช้เครื่องกรอง แต่ก็จะมีราคาแพง เพราะเครื่องกรองน้ำปกติส่วนใหญ่กรองตะกอน สิ่งปนเปื้อนอื่นๆ ไม่สามารถกรองความเค็มได้ เพราะละลายในน้ำเหมือนเกลือแกง ต้องใช้เครื่องกรองน้ำ Reverse Osmosis (RO) แต่มีราคาแพง ทางที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยโรคไต ควรซื้อน้ำขวดดื่มก่อน

ที่มา : sanook.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


เครียดลงกระเพาะ โรคฮิตของคนทำงาน

รู้หรือไม่ว่า เวลาเราเครียด ฮอร์โมนในร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไป หัวใจจะเต้นแรง เร็ว แต่ไม่เป็นจังหวะ เส้นเลือดบีบตัว ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ส่วนกระเพาะอาหารของเราก็จะหลั่งน้ำย่อยออกมามากกว่าที่ควรจะเป็น ลำไส้บีบตัวอย่างรุนแรง ฯลฯ วันนี้ SI มีบทความดีๆ ของโรคเครียดลงกระเพาะมาฝากกันค่ะ

อาการของโรคเครียดลงกระเพาะ
ของแต่ละคนอาจแตกต่างกันออกไปดังนี้

– ปวดท้อง หรือมวนท้อง ซึ่งอาการดังกล่าวจะบรรเทา หรือหายไปเมื่อถ่ายอุจจาระ
– ถ่ายอุจจาระมากกว่าวันละ 3 ครั้ง หรือถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้ง ต่อสัปดาห์
– ต้องเบ่งถ่าย หรือกลั้นไม่อยู่ หรือรู้สึกว่าถ่ายไม่สุด
– ปวดบริเวณลิ้นปี่
– มีอาการท้องอืด หรือรู้สึกว่ามีลมในกระเพาะมาก
– คลื่นไส้อาเจียนหลังอาหาร

ถึงแม้ว่าอาการดังกล่าวจะไม่ได้ส่งผลให้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่อาการเครียดลงกระเพาะก็ส่งผลให้ ประสิทธิภาพในการทำงานของเราลดลงเป็นอย่างมาก

วิธีการรักษาโรคเครียดลงกระเพาะ วิธีการรักษาโรคนี้จะต้องแก้กันที่ต้นเหตุ ด้วยการคลายความเครียดด้วยวิธีการ ดังนี้

1. เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน ถ้าความเครียดของเราเกิดจากเกิดจากการหมกมุ่นอยู่กับเหตุการณ์ในอดีต หรือมัวแต่คิดถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึงแล้วล่ะก็ การหมั่นดึงจิตใจให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ยอมรับความจริง และคิดหาทางแก้ปัญหาอย่างรอบคอบ และมีสติ จะช่วยลดความเครียดได้เป็นอย่างดี

2. หัดระบายความรู้สึกออกมาบ้าง การได้เล่าความเครียดให้คนอื่นฟัง หรือ จดลงในบันทึกส่วนตัวเป็นอีกวิธีง่ายๆที่จะเอาความเครียดออกไปจากตัวของเรา

3. ออกกำลังกาย เพราะทุกครั้งที่ออกกำลังกาย ร่างกายจะหลั่งสารเอนโดฟิน ออกมาทำให้เรารู้สึก สบายใจ ลดความวิตกกังวลลง

4. ลองตื่นแต่เช้า แล้วลงไปเดินเล่นสวนสาธารณะ สูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด เป็นการเพิ่มพลังให้กับตัวเอง จะทำให้เราพร้อมที่จะแก้ทุกปัญหาที่จะเข้ามา โดยที่ไม่มีความเครียดมารบกวนได้

5. หัดปล่อยวางซะบ้าง ถ้าเจอปัญหาที่มันหาทางออกไม่ได้จริงๆ วิธีที่ดีที่สุดคือ วางมันลงไว้ก่อน แล้วถอยหลังออกมาตั้งหลัก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลาย เมื่อเราพร้อมค่อยกลับมาดูมันอีครั้ง บางทีในครั้งหลังเราอาจจะพบทางออกก็ได้

สุดท้าย ขอให้คุณนึกไว้เสอมว่าไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่เคยเครียด อยู่ที่ว่าเราจะรับมือกับมันอย่างมีสติหรือไม่เท่านั้นเอง

ที่มา : todayhealth.org, คอลัมภ์ Healthy Body in Healthy Mind นิตยสาร Secret

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


ว่านชักมดลูก ไอเท็มเด็ดตัวช่วยเรื่องสุขภาพ

ว่านชักมดลูก สมุนไพรไทยตัวช่วยเรื่องสุขภาพของผู้หญิง ผู้หญิงวัยทองจะมีภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ก่อให้เกิดอาการร้อนวูบวาบ แสบร้อนผิวหนัง หงุดหงิด เสี่ยงภาวะไขมันในเลือดสูง ผนังหลอดเลือดขาดความยืดหยุ่น และอาจเสี่ยงโรคกระดูกพรุน ดังนั้นไฟโตเอสโตรเจนในว่านชักมดลูกตัวเมียจึงช่วยเสริมเอสโตรเจนให้สตรีวัยทองได้ และยังพบว่าว่านชักมดลูกตัวเมียมีสารกลุ่มไดแอริลเฮปตานอยด์ ซึ่งมีฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นเทียบเท่าวิตามินซี มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ดีต่อระบบประสาท นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยรักษาและซ่อมแซมระบบหลอดเลือดและหัวใจด้วย วันนี้ SI จะพาทุกคนไปรู้จักสรรพคุณของว่านชักมดลูกที่ไม่ได้มีดีแค่ลดอาการปวดประจำเดือนมาฝากกันค่ะ

รักษาประจำเดือนมาไม่ปกติ
ในตำรับยาไทยจะใช้เหง้าว่านชักมดลูกตัวเมียแก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ บรรเทาอาการปวดท้องระหว่างมีประจำเดือน รวมไปถึงรักษาอาการตกขาว เนื่องจากงานวิจัยในไทยสันนิษฐานว่า ว่านชักมดลูกน่าจะมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน (ฮอร์โมนเพศหญิง) โดยทางการแพทย์จะเรียกสารนี้ว่า ไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งแปลได้ว่า สารที่ได้จากพืชในธรรมชาติ ที่ออกฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจนในร่างกายมนุษย์ ดังนั้นจึงช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศหญิงให้กับคุณสาว ๆ ทำให้บรรเทาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ รวมไปถึงปัญหาสุขภาพผู้หญิงอื่น ๆ ได้

ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้นหลังจากการคลอดบุตร
ในตำรับยาแผนไทยก็ยังใช้ว่านชักมดลูกตัวเมียในการทำให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้นด้วย โดยจากการทดลองในหนูเม้าส์พบว่า สารสกัดจากว่านชักมดลูกช่วยเพิ่มน้ำหนักและปริมาณไกลโคเจนสะสมของมดลูก กระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์เยื่อบุมดลูกชั้นต่าง ๆ ทำให้เกิดการแบ่งตัว และทำให้เยื่อบุมดลูกมีความหนามากยิ่งขึ้น ช่วยให้มดลูกมีขนาดใหญ่ขึ้น ซ้ำยังมีผลกระตุ้นการเจริญเติบโตของเยื่อบุช่องคลอดด้วย

บรรเทาอาการวัยทอง
ผู้หญิงวัยทองจะมีภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ก่อให้เกิดอาการร้อนวูบวาบ แสบร้อนผิวหนัง หงุดหงิด เสี่ยงภาวะไขมันในเลือดสูง ผนังหลอดเลือดขาดความยืดหยุ่น และอาจเสี่ยงโรคกระดูกพรุน ดังนั้นไฟโตเอสโตรเจนในว่านชักมดลูกตัวเมียจึงช่วยเสริมเอสโตรเจนให้สตรีวัยทองได้

อีกทั้งยังพบว่า ว่านชักมดลูกตัวเมียมีสารกลุ่มไดแอริลเฮปตานอยด์ ซึ่งมีฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นเทียบเท่าวิตามินซี มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ดีต่อระบบประสาท นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยรักษาและซ่อมแซมระบบหลอดเลือดและหัวใจด้วย

ลดการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี
จากการทดลองพบว่า สารโฟราซิโตฟีโนนในว่านชักมดลูกมีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งน้ำดี และเสริมให้มีการหลั่งกรดน้ำดีมากขึ้น ด้วยสรรพคุณว่านชักมดลูกในข้อนี้จึงช่วยลดการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้

ลดไขมันในเลือด
การวิจัยพบว่า สารสกัดว่านชักมดลูกด้วยเอทิลอะซิเตทช่วยลดไขมันในเลือดได้ โดยมีส่วนช่วยลำเลียงไขมันออกจากเนื้อเยื่อต่าง ๆ เข้าไปในตับและเสริมให้เกิดการขับคอเลสเตอรอลและกรดน้ำดีสู่ทางเดินอาหาร จากนั้นร่างกายจะขับออกมาพร้อมอุจจาระ

ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรงขึ้น
ฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นในว่านชักมดลูกมีส่วนช่วยให้ผนังหลอดเลือดในหนูทดลองที่ถูกทำให้มีอาการวัยทองแข็งแรงขึ้น โดยพบว่า ว่านชักมดลูกสามารถป้องกันอาการเยื่อบุผนังหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจขาดความยืดหยุ่น และยังช่วยต้านการอักเสบได้อีกด้วย

ป้องกันโรคกระดูกพรุน
เมื่อทำการทดลองใช้ว่านชักมดลูกในหนูที่ถูกตัดรังไข่ พบว่า หนูที่กินสารสกัดจากว่านชักมดลูกตัวเมียติดต่อกัน 5 สัปดาห์ สามารถป้องกันการสูญเสียแคลเซียม และรักษาระดับความหนาแน่นของมวลกระดูกได้ดีเท่ากับหนูที่กินเอสโตรเจน นอกจากนี้ยังทำให้ขนาดมดลูกของหนูทดลองโตขึ้นน้อยกว่ากลุ่มที่กินเอสโตรเจนด้วย

ป้องกันจอประสาทตาเสื่อม
จากการนำเอาสารกลุ่มไดแอริลเฮปตานอยด์ที่แยกได้จากว่านชักมดลูกตัวเมียมาทดลองในหลอดทดลอง พบว่า สารดังกล่าวมีกระบวนการต้านออกซิเดชั่น ที่สามารถป้องกันเซลล์เรตินาของตาถูกทำลายโดยสารอนุมูลอิสระ จึงช่วยลดความสี่ยงโรคจอประสาทตาเสื่อมได้

อย่างไรก็ตาม การวิจัยยังเป็นการทดลองในสัตว์เท่านั้น ยังไม่มีรายงานการทดลองในมนุษย์ จึงยังไม่ทราบถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย รวมไปถึงขนาดและวิธีใช้ที่เหมาะสมกับการรักษา

ที่มา : kapook.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


การบูรกับโปรโยชน์ด้านบำรุงสุขภาพ

เชื่อว่าหลายคนติดใจกลิ่นของการบูรเข้าอย่างจัง และมักจะสูดดมการบูรบ่อย ๆ เพื่อเพิ่มความสดชื่น แต่รู้ไหมคะว่าการบูรมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่านั้น และยังมีสรรพคุณทางยาที่น่าสนใจ วันนี้ SI พาทุกคนไปทำความรู้จักคุณประโยชน์ของการบูรให้มากขึ้นกันค่ะ

1. แก้เคล็ดขัดยอก
การบูรมีรสร้อนปร่าเมา ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอก แก้เท้าแพลง แก้ปวดข้อ โดยใช้ขัดถูตามตัว ทว่าส่วนใหญ่จะนำการบูรไปผสมเป็นตำรับยาทาแก้เคล็ดขัดยอกแถมด้วยสรรพคุณต่าง ๆ เช่น ตำรับ “ยาแก้ลมอัมพฤกษ์” ที่มีการบูรผสมสมุนไพรอื่น ๆ ช่วยบรรเทาอาการปวดตามเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ มือ เท้า ตึงหรือชา

2. แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย
ในยาหม่องหรือน้ำมันแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อยส่วนใหญ่จะมีการบูรเป็นส่วนผสมอยู่ด้วย เนื่องจากการบูรมีฤทธิ์ถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย

3. ขับลม ขับเสมหะ
ตำรับยาแผนไทยแห่งชาติ พ.ศ. 2558 (ฉบับที่ 1) ระบุว่า หากเป็นส่วนประกอบของยาใช้ภายใน การบูรมีสรรพคุณบำรุงธาตุ ขับลม ขับเสมหะ แก้ธาตุพิการ บรรเทาอาการจุกเสียด ปวดท้อง และช่วยกระจายลม

4. แก้อาการหน้ามืด วิงเวียน
ตำรับยาแผนไทยแห่งชาติ พ.ศ. 2558 (ฉบับที่ 1) ระบุด้วยว่า การบูรมีสรรพคุณแก้อาการหน้ามืด ปวดศีรษะ แก้วิงเวียน ช่วยกระตุ้นหัวใจ และแก้คันได้ โดยใช้การบูรเป็นส่วนประกอบในยาใช้ภายนอก

5. บำรุงหัวใจ
การบูรมักจะถูกนำไปปรุงเป็นยาหอมต่าง ๆ เช่น ยาหอมเทพจิตร มีสรรพคุณบำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ ขับลม ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ และแก้ไข้หวัดคัดจมูก

6. แก้ปวดท้อง
ในบัญชียาหลักแห่งชาติ พบว่ามีการใช้การบูรร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ โดยปรุงเป็นยาธาตุบรรจบ มีสรรพคุณแก้ปวดท้อง แก้ท้องเสียชนิดไม่ติดเชื้อ บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เป็นต้น

7. บรรเทาอาการปวดประจำเดือน
ตำรับยาเลือดงาม และยาประสะไพล ซึ่งมีส่วนประกอบของการบูรร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดประจำเดือน ช่วยให้ประจำเดือนมาปกติ ขับน้ำคาวปลาในหญิงหลังคลอดบุตร และรักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือประจำเดือนมาน้อย

8. แก้ปวดฟัน
คนในสมัยก่อนนำการบูรมาใช้อุดฟันที่ปวด เพื่อบรรเทาอาการปวดฟัน และปัจจุบันยังนำการบูรมาใช้เป็นส่วนผสมของยาสีฟันสมุนไพรและน้ำยาบ้วนปาก เพื่อช่วยให้ปากหอมสดชื่น

9. ต้านเชื้อแบคทีเรีย
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้เผยผลการทดลองฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของการบูรโดยพบว่า สาร pinoresinol ในการบูรออกฤทธิ์ยับยั้งและฆ่าเชื้อ B. subtilis ได้ดีที่สุด รองลงมาคือเชื้อ P. aeruginosa ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้อาหารบูดเสีย โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ ซึ่งสาร pinoresinol ในการบูรมีศักยภาพในการนำไปพัฒนาเป็นสารกันเสียที่ได้จากธรรมชาติต่อไป

10. ต้านการอักเสบ
มีงานวิจัยสรรพคุณของการบูรในด้านต้านอาการอักเสบ ซึ่งผลวิจัยพบว่า การบูรมีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยยับยั้งเซลล์ที่เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบ ยับยั้งไม่ให้เกิดการรวมกลุ่มของโมเลกุล และเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันที่จะมารวมตัวกันในบริเวณที่เกิดการอักเสบ แต่ทั้งนี้การทดลองดังกล่าวเป็นการศึกษาในสัตว์ทดลอง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของการบูรในคนต่อไป

ที่มา : kapook.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน