พูดถึงสกินแคร์ทำไมต้องออร์แกนิค

สุขภาพผิวที่ดีเกิดจากการดูแลตัวเองทั้งภายในและภายนอก การเลือกใช้สกินแคร์บำรุงผิวที่เหมาะกับตัวเอง อุดมไปด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ ผสานกับนวัตกรรมสมัยใหม่ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบำรุงผิวให้เห็นผลชัดเจนมากยิ่งขึ้นและจะดีแค่ไหนหากสกินแคร์ที่คุณใช้จะปลอดภัยต่อผิว ถึงเวลาแล้วที่เราควรเริ่มต้นเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและอ่อนโยนต่อผิวมากที่สุด เช่น ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกที่ครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์สำหรับผม ผิว และเครื่องสำอาง วันนี้ SI จะพาทุกคนไปรู้จักผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคให้มากยิ่งขึ้นไปดูกันเลยค่ะ

ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกคืออะไร

ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ส่วนผสมแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ทั่วไป โดยเน้นส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติ ต้องไม่มีสารเคมีอันตรายเป็นส่วนประกอบใดๆ ในผลิตภัณฑ์เลย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพของผู้ใช้ และขั้นตอนในการผลิตก็ต้องมีความปลอดภัยในทุกขั้นตอน รวมไปถึงขั้นตอนการย่อยสลายที่ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

ซึ่งสิ่งสำคัญที่ทำให้พืชพรรณหรือผลผลิตต่างๆ ที่เป็นออร์แกนิกแตกต่างจากพืชธรรมชาติทั่วไป คือการใส่ใจในกระบวนการผลิตทางเกษตรที่ปลอดสารเคมีทุกชนิด 100% อันเป็นอันตรายต่อมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม แม้แต่การปลูกพืช หรือเมล็ดพันธุ์ที่ใช้เพื่อนำมาใช้เป็นสารสกัดก็ต้องมีการดูแลอย่างพิถีพิถัน ก่อนปลูกต้องเตรียมหน้าดินด้วยวิธีธรรมชาติ เมล็ดพันธุ์ที่ใช้ปลูกต้องปลอดภัย และมีการดูแลเป็นอย่างดีตามหลักมาตรฐานสากล ดังนั้นเมื่อถูกนำมาใช้ผลิตเป็นสกินแคร์หรือเครื่องสำอาง จึงมีความปลอดภัยต่อสุขภาพและผิวพรรณมากกว่า

ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกจึงอาจเหมาะกับคนที่รักสุขภาพมากกว่า เพราะปลอดภัยต่อสุขภาพในระยะยาวมากกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป เพราะเราสามารถหลีกเลี่ยงสารเคมีอันตรายได้ ด้วยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกที่ผ่านกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นจนจบ และได้รับการรับรองจากองค์กรที่เชื่อถือได้ เช่น Ecocert (องค์กรรับรองผลิตภัณฑ์และส่วนผสมออร์แกนิกของยุโรป) และ USDA (องค์กรรับรองอาหารและผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกของสหรัฐอเมริกา) เพื่อลดการสะสมสารเคมีจากเครื่องสำอางในร่างกาย ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการเกิดโรคและอาการต่างๆ เช่น ภูมิแพ้ มะเร็ง และทำให้ฮอร์โมนต่างๆ ผิดปกติได้

ที่มา : thestandard.co

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


ส่องเทรนด์ สกินแคร์ 2020

เชื่อว่าสาวๆ คงจะเห็นผลิตภัณฑ์ออกใหม่มากมายที่จะช่วยดูแลผิวพรรณให้สวยเต่งตึงสู้กับกาลเวลาที่ผ่านไป เรียกได้ว่า ตามซื้อตามใช้กันแทบจะไม่ทันเลยทีเดียว และปี 2020 ก็คงเป็นอีกปีหนึ่งที่บรรดาแบรนด์ต่างๆ จะปล่อย สกินแคร์ ใหม่ๆ มาให้เลือกกันอย่างจุใจ วันนี้ SI จะขอตามเทรนด์ ลองมาดูกันดีกว่าว่า “เทรนด์ของสกินแคร์” ในปีนี้ จะมีอะไรที่น่าสนใจกันบ้าง

1. สวยแบบ “Zero-Waste”
สวยแบบรักโลก กระแสที่ยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง นอกจากสกินแคร์สาวๆ ต้องการนั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อผิวแล้ว ยังจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นจากกระบวนการผลิต ส่วนผสมต่างๆ และบรรจุภัณฑ์

2. ครีมกันแดดสูตร “Mineral”
ปัญหาหลักของครีมกันแดดที่สาวๆ ร้องยี้นั่นก็คือ ความเหนียวเหนอะหนะ รวมไปถึงเนื้อครีมที่ขาววอก ที่ไม่เพียงแต่จะทำให้หน้าลอยแล้ว ยังเป็นคราบขาวอีกด้วย ปัจจุบันมีครีมกันแดดสูตร Mineral หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “Physical Sunscreens” เริ่มวางจำหน่ายอย่างแพร่หลาย ด้วยสูตรที่ให้สัมผัสเบาสบาย กลมกลืนกับสีผิวได้อย่างเรียบเนียน และไม่มี “สารเคมี” ที่เป็นอันตรายต่อผิวพรรณและสิ่งแวดล้อม

3. “เรียวปาก” นุ่มชุ่มชื้น ดูสุขภาพดี
“ริมฝีปาก” เป็น “ผิวหนัง” ที่บางที่สุดบนใบหน้า ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับการดูแลและการบำรุงผิวของริมฝีปากเป็นพิเศษ นอกจากการทา “ลิปบาล์ม” อย่างสม่ำเสมอแล้ว ล่าสุดยังมี “เซรั่ม” และผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ในการ “มาส์ก” รวมถึงการ “สครับ” ริมฝีปากให้คุณสาวๆ ได้ปรนนิบัติเรียวปากให้นุ่มสวยน่าสัมผัสอีกด้วย

4. สกินแคร์ต้าน “มลภาวะ”
ด้วยสภาพแวดล้อมทางอากาศที่มี “มลภาวะ” เป็นพิษมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะ ฝุ่น PM 2.5 ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพร่างกาย รวมถึงสุขภาพของผิวหน้าและผิวกาย ผลิตภัณฑ์ประทินผิวหลายๆ แบรนด์จึงเริ่มให้ความสำคัญกับส่วนผสมหลักอย่าง “Antioxidants” ที่มีส่วนช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพจากการทำลายของสภาวะแวดล้อม

5. “โทนเนอร์” ขั้นตอนที่ (เคย) ถูกมองข้าม
“โทนเนอร์” เริ่มกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง หลังจากที่สาวๆ เคยมองข้ามขั้นตอนนี้ไปเวลาที่บำรุงผิวในแต่ละวัน เพราะคิดว่าไม่สำคัญ แต่จากการให้ข้อมูลความรู้ของสื่อและแบรนด์ต่างๆ ทำให้สาวๆ เข้าใจถึงหน้าที่ของโทนเนอร์ และหันกลับมาใช้โทนเนอร์กันเป็นประจำมากขึ้น โดยที่โทนเนอร์นั้นไม่เพียงช่วยในการปรับ “pH Balance” ให้กับผิว แต่ยังช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้อีกด้วย

ที่มา : thairath.co.th

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


อาบน้ำแบบไหน เหมาะกับผิว ดีต่อสุขภาพ

การอาบน้ำไม่ใช่แค่การชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกายเท่านั้น แต่ยังช่วยคืนความสดชื่นให้กับร่างกายและสมอง รวมทั้งน้ำยังช่วยดูแลผิวให้สุขภาพดีได้ด้วย การอาบน้ำในอุณหภูมิที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่คนรักสุขภาพไม่ควรมองข้าม เราลองไปดูกันว่าการอาบน้ำในอุณหภูมิที่ต่างกันจะให้ผลดีกับผิวต่างกันอย่างไร และอุณหภูมิน้ำแบบไหนที่ดีกับผิวเราบ้าง วันนี้ SI พาไปไขข้อสงสัยกันค่ะ

น้ำร้อน
การอาบน้ำร้อนจะต้องมีอุณหภูมิประมาณ 37-42 องศาเซลเซียส (ไม่ควรเกิน 42 องศาเซลเซียส) อุณหภูมิระดับนี้จะทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ทำให้ร่างกายตื่นตัว แต่ไม่ควรอาบหรือแช่น้ำร้อนเกิน 15 นาที เพราะอาจทำให้ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไปจนหน้ามืด เป็นลมได้ นอกจากนี้ยังทำให้ผิวแห้ง มีผื่นขึ้น ผิวเหี่ยว หรืออาจทำให้เลือดคั่ง ประสาทอ่อนล้า กระวนกระวาย ง่วงเหงา และเมื่ออาบน้ำร้อนเสร็จควรอาบซ้ำด้วยน้ำเย็นเพื่อกระชับรูขุมขน หรือจะทาครีมบำรุงผิวเติมความชุ่มชื่นให้กับผิวก็ได้ เพื่อไม่ให้ผิวแห้งจนเกินไป

น้ำร้อนอุณหภูมิ 42 องศาเซลเซียส เทียบได้กับการแช่บ่อน้ำพุร้อนคล้ายออนเซนของญี่ปุ่น หรืออ่างน้ำร้อนแช่ตัวในสปาหรือสถานบำบัดต่างๆ น้ำร้อนอุณหภูมิ 42 องศาเซลเซียสจะมีละอองไอน้ำบางมากๆ ลอยขึ้นมา ไอน้ำจะไม่หนาและเห็นเป็นสีขาวชัดเจนเหมือนน้ำเดือด

น้ำอุ่น
อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการอาบน้ำอุ่นอยู่ที่ 27-37 องศาเซลเซียส จะช่วยให้ผิวขับของเสียที่คั่งค้างออกมาได้มากขึ้น ทำให้รู้สึกสบายตัว ช่วยลดอาการมือเท้าเย็น บวม เส้นเลือดขอด ช่วยกระตุ้นการไหลของเลือด และช่วยลดความเครียดได้ การแช่น้ำอุ่นเหมาะสำหรับคนที่นอนไม่ค่อยหลับ เพราะน้ำอุ่นจะไปเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายทำให้รู้สึกสบายตัว หลับได้ง่ายและนานขึ้น

น้ำอุ่นอุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียสจะเป็นความร้อนระดับเดียวกับอุณหภูมิในร่างกาย โดยให้สังเกตว่าเมื่ออาบแล้วจะสบายตัว แม้จะอาบน้ำแช่นานๆ ก็จะไม่รู้สึกแสบผิว แต่จะรู้สึกสบายตัว

น้ำเย็น
การอาบน้ำเย็นควรอาบที่อุณหภูมิต่ำกว่า 27 องศาเซลเซียส ในช่วงแรกที่อาบน้ำเย็นจะรู้สึกหนาวจนขนลุก แต่กลับช่วยทำให้กล้ามเนื้อตื่นตัวได้ดี เพราะเลือดจะมาเลี้ยงผิวหนังได้มากขึ้น เมื่อกล้ามเนื้อตื่นตัวก็ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น ขณะเดียวกัน งานวิจัยในต่างประเทศยังพบว่า การอาบน้ำเย็นจะช่วยลดความรู้สึกซึมเศร้า อาการหดหู่ได้ด้วย นอกจากนี้หลังอาบน้ำเย็นแล้วควรทาครีมบำรุงผิวเพื่อป้องกันผิวแห้งแตก เพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวสุขภาพดี

น้ำเย็นอุณหภูมิ 27 องศาเซลเซียส เป็นความเย็นที่พอเหมาะที่จะไม่ทำให้ร่างกายสูญเสียความร้อนจนผิวซีด เล็บมือไม่เขียวคล้ำ ผิวนิ้วไม่เหี่ยว และไม่เย็นจนรู้สึกปากสั่นฟันกระทบ

ที่มา : siphhospital.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


10 เรื่องของโทนเนอร์ ที่สาวๆ ต้องรู้!

โทนเนอร์ สกินแคร์ที่หลายๆ คนอาจมองข้าม แต่สาวๆ ทราบกันมั๊ยคะว่าประโยชน์ของโทนเนอร์นั้นมีหลากหลาย ไม่ว่าการกระชับรูขุมขน การบำรุงก่อนการแต่งหน้า การทำความสะอาดผิว หรือการเติมอาหารให้ผิว แล้ววันนี้ SI มี 10 เรือ่งไม่ลับของโทนเนอร์ มาฝากกันนะคะ เชื่อได้เลยว่าประโยชน์นั้นอาจมีมากกว่าที่คุณคิด

1.โทนเนอร์แปลว่าปรับสภาพผิว ฉะนั้นแล้ว จึงไม่ใช่การบำรุง สาวๆ อย่าได้คาดหวังว่าการใช้โทนเนอร์จะให้ให้ใบหน้าชุ่มชื่น หรือได้ผลเทียบเคียงครีมบำรุง แต่เป็นการเตรียมผิวก่อนทาครีมต่างหาก ซึ่งผลที่ได้แน่นอนคือความสะอาดที่มั่นใจได้มากขึ้น และการทำให้ผิวรู้สึกสบาย

2. ถ้าผิวมีสิว เลี่ยงทันที กับโทนเนอร์ที่มีแอลกอฮอล์ เมนทอล และไซลิไซลิค แอซิด (Sylicylic Acid) ที่ยิ่งทำให้ผิวแห้ง และยิ่งเร่งการขับไขมันออกมามากขึ้น

3. ถ้าอยู่บ้าน และผิวหน้าไม่เสี่ยงกับมลภาวะมากนัก วันนั้นๆ เราอาจพักและงดใช้โทนเนอร์ก็ได้ แล้วใช้ในวันที่ผิวต้องการดูแลมากเป็นพิเศษ หรือช่วงเวลาก่อนนอน

4.หัวใจสำคัญอีกอย่างคือการเช็ดถู ฉะนั้นเลือกใช้สำลีธรรมชาติที่อ่อนนุ่มประกอบกันด้วย เช็ดผิวจากด้านล่างขึ้นด้านบน และทำอย่างเบามือที่สุด เพื่อลดการเกิดริ้วรอยและการขยายของรูขุมขน

5. การคาดหวังในโทนเนอร์ ว่าจะเป็นตัวทำความสะอาดผิว แต่คือสิ่งที่ช่วยปรับความสมดุลผิวต่างหากฉะนั้นแล้ว ต้องมั่นใจด้วยว่าขั้นตอนการล้างหน้านั้นสะอาดดีก่อนแล้ว จึงค่อยใช้โทนเนอร์เป็นขั้นตอนต่อไปในการปรับสภาพผิว

6. ค่า pH คืออะไรใครรู้บ้าง เพราะสำคัญมากที่เราควรรักษาความเป็นกรดด่างของผิวหน้าให้สมดุล นั่นคือ ค่าความเป็นกรดด่างของผิวที่เหมาะสมคือ 4 – 6 หรือมีความเป็นกรดเล็กๆ (1 – 6 คือเป็นค่ากรด และ 7 – 14 เป็นค่าด่าง) โทนเนอร์ก็สำคัญที่ไม่ควรมีกรดมากเกินไปเพราะเป็นการขโมยออกซิเจนออกจากผิว ทำให้ต่อมไขในทำงานหนักขึ้น และต้องใช้เวลาอีกกว่า 30 นาที กว่าผิวจะปรับสภาพกลับมาตามเดิม

7. โทนเนอร์ช่วยให้ครีมบำรุงทำงานดีขึ้น เมื่อเราใช้หลังล้างหน้าในการปรับให้ผิวรักษาความสมดุล ชุ่มชื่น จากนั้นเมื่อทาครีมบำรุง ครีมจึงซึมซาบลงสู่ผิวง่ายขึ้น และลึกมากขึ้น หากใช้ครีมบำรุงหลังโทนเนอร์ภายใน 1- 2 นาที

8. น้ำไม่ใช่โทนเนอร์ เพราะฉะนั้น เฟเชียล สปริทซ์ หรือน้ำแร่กระป๋องทั้งหลายจึงทำงานต่างกันไป ด้วยมีคุณสมบัติต่อผิวต่างกัน โดยชนิดหลังนั้น จะเน้นทำให้ผิวรู้สึกเย็นสบาย ลดอักเสบ แต่ไม่ใช่การบำรุงผิว

9. แต่โทนเนอร์สามารถดัดแปลงได้ โดยนำชนิดที่ปราศจากแอลกอฮอล์นำมาฉีดหน้าระหว่างวัน แค่เอามาแช่เย็นแล้วฉีดพรมใบหน้าและลำตัว เพื่อให้น้ำเย็นๆ ได้ลดการขยายตัวของเส้นเลือด ผิวจะรู้สึกสบาย แถมยังได้บำรุงไปในตัว

10.และยังช่วยทำให้เครื่องสำอางติดทนได้ด้วย กับการดัดแปลงโทนเนอร์ที่คุณชอบ เช่นชนิดที่ให้กลิ่นหอม ชื่นใจ นำมาใส่ขวดที่มีหัวฉีด จากนั้นฉีดพรมบางๆ บนใบหน้าหลังแต่งหน้าเสร็จ จะช่วยให้เครื่องสำอางที่ใช้ส่วนผสมจากแร่ธาตุ (Mineral Make-up) ทั้งหลายเกาะผิวได้ดี และทำให้ผิวดูชุ่มชื่นขึ้น

ที่มา : sanook.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


หยุดผิวแก่! ให้สวยเด้ง ด้วยเทรนด์ “ไฮยาลูรอน”

เชื่อว่าทุกคนรู้จักไฮยาลูรอน กันบ้างแล้ว เป็นเทรนด์ที่มาแรงในกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ไม่แพ้คอลลาเจนเลยค่ะ แม้จะเป็นสารสังเคราะห์ที่ใช้กันมานานกว่า 10 ปีแล้ว แต่ก็ยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่องมาโดยตลอด ด้วยคุณสมบัติชะลอผิวแก่ได้ชะงัด ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ลดริ้วรอย ทำให้ผิวดูนุ่มเด้ง เต่งตึง เนียนใสได้อย่างมหัศจรรย์ แต่เอ๊ะ… แล้วมันช่วยได้จริงหรือไม่ วันนี้ SI พาไปไขข้อสงสัยกันค่ะ

วิวัฒนาการของไฮยาลูรอน

เมื่ออายุล่วงเลยถึงวัย 30 ปีเป็นต้นไป ร่างกายของเราจะผลิตกรดไฮยาลูโรนิคลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งนอกจากอายุที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีปัจจัยทางสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก ที่ไปกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการเสื่อมสภาพและลดการผลิตสารนี้ลงรวดเร็วกว่าเดิม เช่น การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ ความร้อน แสงแดด และรังสียูวี เป็นต้น

สิ่งที่ตามมาเมื่อกรดไฮยาลูโรนิคและคอลลาเจนในชั้นผิวของเราลดลงก็คือ ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น แห้งเหี่ยว ขาดความยืดหยุ่น จึงเกิดความหย่อนคล้อย ริ้วรอย และร่องลึกตามบริเวณต่าง ๆ ของใบหน้า เรียกว่าความแก่ชราจะปรากฏชัดขึ้นเลยล่ะค่ะ

ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงได้คิดค้น “กรดไฮยาลูโรนิคสังเคราะห์” ขึ้น เพื่อนำมาทดแทนกรดไฮยาลูโรนิคที่ร่างกายสร้าง ซึ่งเป็นสารที่ได้มาจากการเพาะเลี้ยงเชื้อในห้องปฏิบัติการ โดยใช้โปรตีนจากนกเป็นอาหาร ทำให้ได้สารไฮยาลูโรนิคที่มีสภาพใกล้เคียงกับกรดที่อยู่ในร่างกายมนุษย์มากที่สุด มีลักษณะข้นหนืด ละลายน้ำได้ดี แต่ก็อุ้มน้ำได้ดีมากเช่นกัน

เริ่มแรกนั้น สารดังกล่าวถูกนำมาใช้เป็นยาประเภทฉีด เพื่อบำบัดรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม ภาวะอักเสบรอบข้อไหล่ หรือลดอาการปวดข้อได้ผลชะงัด ต่อมาได้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์น้ำตาเทียม ช่วยหล่อลื่นลูกตา และนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเวชสำอางอย่างเช่นในปัจจุบันค่ะ

ประโยชน์ของไฮยาลูรอน

– ช่วยแก้ปัญหาผิวขาดความสมดุล ผิวแห้งลอก เป็นขุย ด้วยคุณสมบัติอุ้มและกักเก็บน้ำไว้ที่ผิวได้อย่างดีเยี่ยม

– บำรุงให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง มีความตึงกระชับ และปกป้องผิวจากการระคายเคือง

– ลดการอักเสบของผิว ซ่อมแซมผิวที่ถูกทำลาย เร่งกระบวนการฟื้นฟูเซลล์ที่มีผลต่อการหายของแผล รวมถึงช่วยรักษาแผลในปากได้

– เป็นสารเติมเต็มผิวที่มีความบริสุทธิ์สูง สามารถช่วยเพิ่มปริมาตรผิว (Filler) ได้อย่างยอดเยี่ยม

– ใช้ฉีดเพื่อแก้ไขจุดบกพร่องบนใบหน้า ซึ่งสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ

– ช่วยในการรักษาต้อกระจก บรรเทาอาการตาแห้ง

– บรรเทาอาการปวดข้อจากข้อเสื่อม และช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้น

ที่มา : kapook.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


เจาะลึก Synbiotics กับคุณประโยชน์จัดเต็ม

Synbiotics ประกอบด้วย Probiotics และ Prebiotics มีหน้าที่เพื่อเพิ่มอัตราการอยู่รอดของ Probiotics ให้ประโยชน์แก่สุขภาพด้วยการเติม Prebiotics ลงไปเพื่อให้ Probiotics ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ภายในทางเดินอาหารให้เหมาะสม ปรับสมดุลให้ลำไส้ใหญ่ ก่อให้เกิดผลดีต่อร่างกาย

Probiotics คือ เป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิต ที่พบได้ตามส่วนต่างๆ ในร่างกาย เมื่อมีอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานปกติ เพราะหากขาดจุลินทรีย์เหล่านี้ร่างกายเราจะเสี่ยงต่อสภาวะ การอักเสบต่างๆ การติดเชื้อ หรือแม้กระทั่งภูมิคุ้มกันที่ลดลง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของความเสื่อมของร่างกาย และความแก่ชราอย่างรวดเร็ว

PREBIOTIC คือ เป็นอาหารที่ร่างกายไม่สามารถย่อยและดูดซึมได้แต่จะถูกย่อยด้วยจุลินทรีย์ในร่างกาย กระตุ้นการทำงานและส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ดีในร่างกาย ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง จึงพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อนำโปรไบโอติกส์มาใช้ เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์สำหรับผิวเพื่อปรับสมดุลจุลินทรีย์ดีที่ผิว และสารอาหารและแหล่งพลังงานแก่แบคทีเรียดีที่อยู่ในผิว แล้วขจัดแบคทีเรียไม่ดีให้หมดไป สามารถใช้ได้โดย เฉพาะคนที่มีปัญหาสิวและผื่นแพ้ง่าย เพราะนอก จะช่วยดูแลผิวหน้าให้สะอาดไร้แบคที่เรียไม่ดีแล้ว ยังให้ความชุ่มชื้นอีกด้วย

ประโยชน์ของ Synbiotics

1.ช่วยปรับระดับความชุ่มชื้นของผิวให้สมดุล
2.ลดความเครียดในเซลล์ผิว ซึ่งก่อให้เกิดการ อักเสบของผิวหนัง
3.ปรับสมดุลค่าพีเอช (pH)
4.เสริมความแข็งแรงของผิวชั้นนอกให้แข็งแรง
5.สามารถยับยั้งแบคทีเรีย P.acnes สาเหตุที่ก่อ ให้เกิดสิว
6.ปกป้องมลภาวะ ลดความไวจากรังสี UV
7.เพิ่มความยืดหยุ่นของผิวและช่วยลดเลือนริ้วรอย
8.เพื่อผิวเรียบเนียน กระจ่างใส

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


ใช้เครื่องสำอางอย่างไร ให้ยืดอายุการใช้งานนานยิ่งขึ้น

สาวๆ รู้หรือไม่ อายุการใช้งานของ เครื่องสำอาง  แม้ว่า เครื่องสำอาง มีวันหมดอายุก็จริง แต่หากรู้วิธีการเก็บรักษาและดูแลเป็นอย่างดี จะช่วยยืดอายุเครื่องสำอางให้นานยิ่งขึ้นโดย เครื่องสำอาง สามารถแบ่งออกตามประเภทดังนี้รองพื้นและเบส

อายุหลังเปิดใช้ – ชนิด water base อยู่ได้นาน 12 เดือน / ชนิด oil base อยู่ได้นาน 18 เดือน

สัญญาณเตือน – เนื้อรองพื้นที่เคยลื่นเหลว แข็งเป็นเม็ด แป้งสีขาวขุ่นมัว

วิธียืดอายุ – ต้องปิดฝาให้สนิท ใช้คอตต้อนบัดแตะรองพื้นก่อนแต้มที่ผิวหน้า เลี่ยงการใช้นิ้ว ที่สำคัญ

เลือกรองพื้นชนิดขวดปั๊มป้องกันอากาศและฝุ่นละออง ช่วยให้รองพื้นคงความชุ่มชื้น

หรือถ้าเป็นรองพื้นชนิดครีมควรใช้พายตัก

สำหรับแป้งผสมรองพื้น ควรหมั่นล้างทำความสะอาดพัฟให้เกลี้ยงและสะอาด

เพราะความมันและแบคทีเรียจากผิวหน้าอาจปนเปื้อนทำให้เนื้อแป้งหมดอายุเร็วขึ้น


ลิปสติก ลิปกลอส

อายุหลังเปิดใช้ – อยู่ได้นาน 18 เดือน

สัญญาณเตือน – กลิ่นค่อนข้างฉุน ชวนเวียนหัว ถ้าเป็น lip gloss เนื้อผลิตภัณฑ์อาจะเหนียวไม่เหมือนเดิม

วิธียืดอายุ – หลีกเลี่ยงการทาที่ริมฝีปากโดยตรง รวมทั้งการใช้นิ้วแตะแต้ม

ควรใช้พู่กันเกลี่ยเพื่อป้องกันสิ่งสกปรกจากมือและริมฝีปากไปสะสมที่ลิป


มาสคาร่า

อายุหลังเปิดใช้ – อยู่ได้นาน 3-6 เดือน

สัญญาณเตือน – เหนียวข้น เกาะกันเป็นเม็ด เมื่อปัดที่ขนตา หากทิ้งไว้นานจะแห้งกรัง

วิธียืดอายุ – ก่อนดึงแปรงออกมา ควรเขย่าขวด 2-3 ครั้ง หลีกเลี่ยงการปาดแปรงที่ปากขวด

เพราะมาสคาร่าที่โดนอากาศจะติดเกรอะกรังทำให้ปิดฝาไม่สนิท


บลัชออน อายแชโดว์

อายุหลังเปิดใช้ – อยู่ได้นาน 3 ปี

สัญญาณเตือน – สีซีดจางและไม่ติดผิว บางยี่ห้อเนื้อจะด้าน

วิธียืดอายุ – ปิดฝาให้สนิท และใส่ซองกำมะหยี่เพื่อกันกระแทก ซึ่งอาจทำให้เนื้อผลิตภัณฑ์แตกหักได้


ดินสอเขียนขอบปาก ตา

อายุหลังเปิดใช้ – อยู่ได้นาน 3 ปี

สัญญาณเตือน – เนื้อดินสอแห้ง สีไม่ติดผิว

วิธียืดอายุ – ควรฝนทุกครั้งที่ใช้ เพื่อกำจัดเนื้อผลิตภัณฑ์เก่าออกก่อนจะวาดบนริมฝีปากหรือขอบตา


ยาทาเล็บ

อายุหลังเปิดใช้ – อยู่ได้นาน 12 เดือน

สัญญาณเตือน – สีและลิควิคแยกตัวจากกันอย่างเห็นได้ชัดหากนานเข้า เนื้อจะข้นและแข็งเป็นก้อน

วิธียืดอายุ – ปิดฝาขวดให้แน่นสนิททุกครั้งหลังการใช้ ป้องกันการแห้งระเหย

ถ้าหากเก็บไว้ในตู้เย็นอาจช่วยยืดอายุได้ถึง 2 ปี

 

แต่สาวๆ รู้หรือไม่ว่า เครื่องสำอาง ที่ยังไม่ได้ถูกเปิดใช้งาน จะสามารถเก็บได้นานถึง5ปีเลยทีเดียว แต่ก็ขึ้นอยู่กับอุณภูมิการเก็บรักษาด้วยค่ะ

ข้อมูล : นิตยสารแพรว


สนใจผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างแบรนด์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ขอใบราคา สินค้าตัวอย่าง
Tel. 02-313-3456, 09-5558-2289

5 เหตุผล ทำไมต้องใช้ Hand cream

ผิวมือเป็นส่วนที่หลายคนมักจะละเลย ทั้งที่สำคัญไม่แพ้ผิวหน้าและผิวกาย อีกทั้งผิวมือยังฟ้องอายุได้ชัดเจนอีกต่างหาก ลองคิดดูสิคะ ถ้าใบหน้าดูอ่อนเยาว์ แต่ผิวมือดูแห้งเหี่ยวหยาบกร้าน ก็คงไม่น่ามองแน่ๆ SI ขอยกเอาเหตุผล ที่จะบอกว่าทำไมคุณควรใช้ แฮนด์ครีม เป็นประจำมาฝาก

แฮนด์ครีม ทาแฮนด์ครีมเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้ผิวมือชุ่มชื้น และดูอ่อนเยาว์มากขึ้นด้วยถ้าลองสังเกตดู ผิวหลังมือนั้นจะบางกว่าผิวฝ่ามือ และขาดความชุ่มชื้นได้ง่ายกว่า การทาโลชั่นธรรมดาอาจไม่เพียงพอที่จะทำให้ผิวหลังมือชุ่มชื้นได้เพียงพอ ยิ่งมือของเราสัมผัสกับมลภาวะ แบคทีเรีย และสารเคมีต่างๆ มากมาย ยิ่งทำให้ผิวมือแห้งกร้านได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

1. ทำให้ผิวมืออ่อนนุ่มและชุ่มชื้น
ประโยชน์ข้อแรกของแฮนด์ครีมที่เห็นได้ชัดที่สุด ก็คือช่วยทำผิวชุ่มชื้น และผิวมือนุ่มเนียนขึ้น น้ำมันในแฮนด์ครีมจะช่วยช่วยเติมความชุ่มชื้นบนผิวมือที่สูญเสียไป และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดผิวแห้งในอนาคตด้วย

2. ปลอบประโลมผิวที่ถูกทำลาย
แฮนด์ครีมหลายตัวมีส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น สมุนไพร หรือน้ำมันหอมระเหยต่างๆ ที่จะช่วยเยียวยาและฟื้นฟูผิว และยิ่งมีกลิ่นหอมอ่อนๆ จากธรรมชาติที่หอมติดผิว ยิ่งทำให้แฮนด์ครีมเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในการผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี

3. ผ่อนคลายความเครียด เหมือนได้ทำโฮมสปา
การทาแฮนด์ครีมและนวดมือเป็นประจำทุกวัน เป็นการผ่อนคลายอย่างหนึ่ง ยิ่งถ้าคุณสามารถกดจุดที่ฝ่ามือได้ ยิ่งจะทำให้ผ่อนคลาย ลองหลับตาและนวดมือด้วยแฮนด์ครีมจนกว่าครีมจะซึมซาบลงสู่ผิวได้หมด จะช่วยทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้มากเลยทีเดียว

4. แฮนด์ครีมดีต่อเล็บ
ส่วนผสมในแฮนด์ครีมจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้หนังรอบเล็บและจมูกเล็บ อีกทั้งการทาแฮนด์ครีมเป็นประจำ จะช่วยบำรุงให้เล็บแข็งแรงและมีสุขภาพดีขึ้นด้วย

5. แฮนด์ครีมมีประโยชน์มากกว่าที่คิด
นอกจากจะช่วยบำรุงผิวมือแล้ว แฮนด์ครีมยังช่วยดูแลเส้นผมได้ด้วย โดยเฉพาะเมื่อผมชี้ฟูไม่ได้ดั่งใจ ลองถูแฮนด์ครีมลงบนฝ่ามือ แล้วลูบไล้ลงบนเส้นผม ก็จะทำให้ผมเรียบลื่นขึ้นได้

ทางที่ดีที่สุดควรพกแฮนด์ครีมติดกระเป๋าไว้ทุกวัน เมื่อรู้สึกว่ามือแห้งเมื่อไหร่ ก็หยิบขึ้นมาทาเมื่อนั้น และที่สำคัญ ควรเลือกแฮนด์ครีมที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดด เพื่อทำให้ผิวมือไม่หมองคล้ำจากการสัมผัสกับแสงแดด

นอกจากนี้จึงควรเลือกแฮนด์ครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินอี น้ำมันหอมระเหย กลีเซอรีน เอเอชเอ และเชียร์บัตเตอร์ เพื่อช่วยต้านอนุมูลอิสระ และทำให้ผิวมือชุ่มชื้น น่าสัมผัสยิ่งขึ้น

ที่มา: hellomagazine.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


เทคนิคการเลือกซื้อเครื่องสำอาง

เพื่อให้คุณได้เครื่องสำอางทุกชิ้นที่เหมาะกับคุณ และใช้งานมันอย่างสมคุณค่า เรามีกฎทั่วไปในการเลือกซื้อเครื่องสำอาง ที่คุณควรคำนึงถึงควรทั้งเคล็ดลับอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับการจัดการกับกระเป๋าเครื่องสำอางของคุณด้วย
ต้องลองด้วยตัวเอง อายแชโดว์สีใหม่อาจดูดีเวลาที่ผู้เชี่ยวชาญแต่งให้คุณ ดังนั้นคุณควรศึกษาวิธีใช้หรือสอบถามจากพนักงานขาย

เช็คสีกับแสงแบบต่าง ๆ เครื่องสำอางอาจดูแตกต่างออกไปในแสงที่ต่างกัน โดยเฉพาะรองพื้น และเครื่องสำอางที่ใช้เพื่อปรับสีผิว เครื่องสำอางยังอาจดูแตกต่างกันได้อีกเมื่อมันเช็ตตัว ซึ่งต้องใช้เวลาอีกสองสามหรือนาทีเพื่อที่จะเห็นความแตกต่าง ฉะนั้น หลังจากลองเครื่องสำอางที่คุณชอบแล้ว ลองเดินออกไปข้างนอก และดูเมคอัพของคุณในแสงธรรมชาติที่ต่างไปจากแสงที่เคาน์เตอร์

อย่าทาสีทับกัน บ่อยครั้งเวลาที่เราลองสีลิปสติก เรามักจะทาสีต่างๆ ผสมกันไปมาจนบางทีเมื่อสีที่เราลองผสมกันกลายเป็นสีที่ดูสวยสดใส ซึ่งคุณเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสีสุดท้ายที่คุณลอง แล้วก็ซื้อมาแต่เมื่อมาลองในวันต่อมา มันกลับดูไม่เหมือนสีที่คุณลองเมื่อวานเลย สิ่งที่ควรทำเวลาลองสีที่ต่างกันก็คือ ให้แน่ใจว่า คุณเช็ดสีก่อนหน้านั้นออกหมดแล้วเพื่อที่คุณจะได้เห็นว่าสีจริง ๆ เป็นอย่างไร

เชื่อตัวเอง เราทุกคนต่างรู้ดีว่าพนักงานขายมักกดดัน คนซื้อเพื่อที่จะขายของได้ และอาจบอกว่ามันดูดีทั้งๆ ที่ไม่ใช่ ฉะนั้น เชื่อในความรู้สึกแรกของตัวเองที่เห็นหรือถ้าคุณไม่แน่ใจ ก็พาเพื่อนหรือญาติสนิทที่คุณไว้ใจไปด้วย เมื่อมีสองความเห็น อาจทำให้พนักงานขายไม่กล้ากดดันให้คุณซื้อของที่ไม่เหมาะกับคุณ แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือให้แน่ใจว่าคุณเองก็ชอบเครื่องสำอางที่คุณลอง

สิ่งที่ต้องใช้ประจำ
แชมพู แชมพูบางชนิดอาจมีส่วนผสมของสารทำความสะอาดที่มีฤทธิ์แรงเกินไป จนทำให้เส้นผมสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติ ซึ่งแชมพูดี ๆ โดยทั่วไปมักไม่ใช้ส่วนผสมที่เป็นอันตรายต่อเส้นผม และยังมีความเข้มข้นสูง คุณจึงไม่ต้องใช้ในปริมาณมาก ซึ่งก็เท่ากับช่วยประหยัดเงินให้คุณได้ เพราะไม่ต้องเสียเงินซื้อบ่อย ๆ

แปรงหรือพู่กันแต่งหน้า การซื้อแปรงหรือพู่กันแต่งหน้าดี ๆ มาใช้นั้นนับเป็นการลงทุนที่คุ้นค่า เนื่องจากแปรงและพู่กันพวกนี้มักใช้ขนแปรงธรรมชาติ และใช้มือในการประกอบ จึงมักจะมีราคาแพง แต่ถ้าคุณดูแลดี ๆ ก็สามารถใช้แต่งเติมความงามให้คุณได้ไปนานแสนนาน

ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอาง คุณจำเป็นต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางที่สามารถทำความสะอาดสิ่งสกปรก ที่ติดอยู่ในรูขุมขนได้อย่างมีสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณใช้เครื่องสำอางแบบกันน้ำ นอกจากนี้ ผิวรอบดวงตาและริมฝีปากยังต้องการการทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน ซึ่งผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดคุณภาพต่ำ อาจสร้างความระคายเคืองให้แก่ผิวในบริเวณนั้นได้

อุปกรณ์แต่งผม เนื่องจากอุปกรณ์แต่งผมด้วยความร้อนอย่างไดร์เป่าผม และคีมรีดผมไฟฟ้าแบบที่มีราคาถูกนั้นมักจะทำจากวัสดุที่ไม่มีคุณภาพ ทำให้เส้นผมต้องสัมผัสกับความร้อนมากเกินไป ส่งผลให้เส้นผมแห้งกรอบและสูญเสียความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ คุณจึงควรทุ่มทุนซื้อคีมรีดผมไฟฟ้าแบบที่มีแผนนำความร้อน ที่ทำจากเซรามิก หรือไดร์เป่าผมระบบไอออนนิก ซึ่งอ่อนโยนต่อเส้นผมมากกว่า

ครีมรองพื้น ครีมรองพื้นดีๆ มักจะใช้แต่ส่วนผสมที่มีคุณภาพ ซึ่งจะทำให้ผิวหน้าของคุณดูเนียนใสไร้ริ้วรอยเหมือนไม่ได้ทารองพื้น ส่วนผสมที่ว่านั้นก็ได้แก่ชิลิก้าหรือชิลิโคนในรูปแบบอื่น ๆ ซึ่งจะทำให้ครีมรองพื้นมีเนื้อครีมที่เรียบเนียน แถมยังมีความยืดหยุ่นพอจะไม่ทำให้เกิดรอยแตกหรือรอยยับย่นใด ๆ บนผิวหน้าด้วย

ลิปสติก ลิปสติกแบบที่ไม่มีส่วนผสมของสารที่ให้ความชุ่มชื้นใดๆ อาจทำให้ริมฝีปากแห้งและเหนียวเหนอะหนะได้ การเพิ่มเงินอีกนิดหน่อยเพื่อซื้อลิปสติกดีๆ มาใช้ จะส่งผลดีต่อริมฝีปากของคุณมากกว่า และถ้าจะให้ดียิ่งไปกว่านั้น ก็ควรมีส่วนผสมของสารกันแดด ที่ช่วยปกป้องริมฝีปากจากรังสียูวีในแสงแดดได้ด้วย

บลัชออน คุณควรเลือกซื้อบลัชออนแบบเดียวกับที่เลือกซื้อครีมรองพื้น เพราะการจะปัดแก้มให้ดูเรียบเนียนได้ ก็ต้องอาศัยส่วนผสมที่มีคุณภาพ

มาสคาร่า มาสคาร่าคุณภาพต่ำมักจะจับตัวเป็นก้อน และทำให้ขนตาจับตัวติดกัน แถมยังแห้งเร็วเกินไปอีกด้วย แต่มาสคาร่าคุณภาพดีมักจะช่วยทำให้ขนตาของคุณดูคมเข้มได้อย่างนุ่มนวล

สิ่งที่ควรประหยัด(ถ้าประหยัดได้)

ยาทาเล็บ เนื่องจากมักจะมีอายุการใช้งานน้อย และเทรนด์แฟชั่นสีเล็บก็มักจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ฉะนั้น ทางที่ดีก็ควรซื้อแบบขวดเล็กๆ มาใช้ และไม่ควรเลือกแบบแห้งเร็ว เพราะมีโอกาสจะแห้งคาขวดได้ง่ายมาก

ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้คุณไม่ต้องเลือกอะไรมาก เพราะจุดประสงค์ของมันก็คือใช้ทำความสะอาดใบหน้า โดยไม่ทำลายความชุ่มชื้นตามธรรมชาติบนผิวหน้า ถ้าจะเลือกก็ควรเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวเท่านั้น อย่างเช่น ถ้าผิวของคุณแห้งมากก็เลือกใช้ชนิดครีม แต่มีผิวมันก็เลือกใช้แบบเจล

ครีมกันแดด สิ่งที่คุณควรให้ความสนใจมากกว่าเรื่องราคาก็คือค่า SPF โดยควรเลือกแบบที่มีค่า SPF 15 ขึ้นไปสำหรับสาวออฟฟิศทั่วไป แต่ถ้าต้องออกไปอยู่กลางแจ้งนานๆ ก็ควรเลือกแบบที่มีค่า SPF 30 เรื่อยไปจนถึง 60 แต่ถ้าคุณมีผิวที่แพ้ง่าย ก็อาจจำเป็นต้องเลือกใช้ยี่ห้อดีๆ ที่ทำขึ้นมาสำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ

อายครีม ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผิวรอบดวงตาส่วนใหญ่ มักเป็นผลมาจากผิวแห้งและขาดความชุ่มชื้น ฉะนั้น ใช้อายครีมที่ช่วยคืนความชุ่มชื้นให้แก่ผิวได้ก็พอ ไม่จำเป็นต้องเลือกแบบที่มีส่วนผสมอะไรพิเศษหรอก

ลิปบาล์ม ส่วนผสมของลิปบาล์มยี่ห้อไหนๆ ก็มักไม่แตกต่างกัน นั่นคือขี้ผึ้ง กลีเซอรีน และสารให้ความชุ่มชื้นอื่นๆ แต่ถ้าใช้แล้วยังรู้สึกแห้งกร้านก็ควรโยนทิ้งไป เพราะอาจสร้างความเสียหายให้ริมฝีปากได้

คอนดิชันเนอร์ เราต่างรู้ดีว่าคอนดิชันเนอร์นั้นช่วยฟื้นฟูผมที่แห้งเสียให้เราได้ จึงมีคอนดิชันเนอร์ดีๆ อยู่ในท้องตลาดมากมาย รวมทั้งแบบราคาถูกที่วางขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตด้วย

สิ่งที่ควรค้องคำนึงถึงอายุของการใช้งาน
รองพื้น มีสองแบบคือแบบสูตรน้ำกับสูตรน้ำมัน อย่างแรก มีอายุราว 12 เดือน อย่างหลังจะอยู่ได้นามกว่าคือ 18 เดือน หลังจากเปิดใช้ ถ้าคุณสังเกตเห็นสีที่เปลี่ยนไป หรือมีกลิ่นไม่ดี ก่อนเวลาก็ไปซื้อใหม่ได้แล้วล่ะ

คอนซีลเลอร์ สามารถใช้ได้นานถึง 12 เดือน แต่ถ้ามันเริ่มแห้งแข็งก็โยนมันทั้งไปก่อนได้เลย

แป้ง แป้ง ฝุ่นจะใช้ได้นานสองปี ส่วนแป้งแข็งจะอยู่ได้ราวหนึ่งปี เพราะน้ำมันที่สะสมอยู่ในฟองน้ำที่ใช้ทำให้มันเสียได้ง่ายกว่า ฉะนั้น ควรทำความสะอาดฟองน้ำอย่างสม่ำเสมอ และก็แผ่นพลาสติกที่รองกั้นระหว่างแป้งกับฟองน้ำเอาไว้ เพื่อไม่ให้มันสัมผัสกับแป้งโดยตรง

อายแชโดว์ สามารถใช้ได้นานถึงสามปี แต่ถ้ามันเริ่มแตกร่อน ก็ควรหาอันใหม่ได้แล้ว

ดินสอเขียนขอบตา อยู่ได้นานถึงสามปี แต่ให้แน่ใจง่ายเหลามันอยู่เสมอ ส่วนแบบดินสอที่ไม่ต้องเหลาอาจแห้งได้ง่ายกว่า และถ้ามันแห้งก็ควรโยนทิ้งไปได้แล้ว

มาสคาร่า ใช้ได้ราว 4 เดือน ถ้าเก็บไว้นานกว่านั้นมันจะแห้งแข็งและทาได้ยาก

ลิปสติก หนึ่งถึงสองปี แต่วิธีที่ดีที่สุดที่จะตักสินก็คือ คนกลิ่นดูว่ามันมีกลิ่นแปลกไปจากที่เคยเป็นหรือเปล่า

ยาทาเล็บ ใช้ได้ราวหนึ่งปี และพยายามอย่าให้มีอะไรบ่นเปื้อนลงไปในขวด

ที่มา: women.thaiza.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


 

10 วิธีล้างเครื่องสำอางจากธรรมชาติ เพื่อสุขภาพผิวที่ดี

เครื่องสำอาง ถือได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่สวยงามที่สุด ที่ผู้หญิงทุกคนใช้หรือแม้กระทั่งไปเรียน ไปทำงาน ไปเที่ยว ออกสังคม หลังจากที่กลับมาแล้วขั้นตอนที่น่าเบื่อหน่ายและทำร้ายผิวมากที่สุดคือการล้าง เช็ด เครื่องสำอางออก สำหรับการล้างเครื่องสำอางออกส่วนใหญ่เราจะใช้ผลิตภัณฑ์สารเคมีที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามซุปเปอร์มาร์เก็ตซึ่งง่ายและสดวกแต่หากทำร้ายผิวหน้าอย่างหนักโดยเฉพาะน้ำยาลบเลือนเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอลล์ซึ่งสามารถล้างเครื่องสำอางได้อย่างหมดจด แต่ระคายเคืองต่อผิวและทำให้ผิวแห้งเสียบางยี่ห้อ ถึงกับมีส่วนผสมของ ฟอร์มาลีน (Formalin) หรือ ฟอร์มัลดีไฮด์ จะดีกว่าไหม หากเราสามารถใช้น้ำยาล้างเครื่องสำอางที่มาจากธรรมชาติ 100% และสามารถทำเองได้ที่บ้าน (Homemade) หากคุณมีผิวที่แห้งเสียต้องการ การบำรุงดูวิธีการทำสครับบำรุงผิวโฮมเมดด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ ที่นี่ 10 เคล็ดลับ โฮมเมดการทำสครับผิวเพื่อผิวกระจ่างใส

1. น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ น้ำมันมะพร้าวเป็นส่วนผสมเดียวที่ทำหน้าที่เป็นน้ำยาล้างเครื่องสำอางธรรมชาติ, ครีมบำรุงผิว, Lip Balm และอื่น ๆ อีกมากมาย ด้วยเหตุผลเหล่านี้น้ำมันมะพร้าวเป็นหนึ่งในส่วนผสมที่สาวๆต้องมีเก็บไว้ติดบ้านน้ำมันมะพร้าวนี้จะทำความสะอาดผิวของคุณโดยไม่ทำลายให้ผิวแห้งเสียและน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์นั้นเป็นน้ำยาลบมาสค่าและลิปสติคที่ดีและมีประสิทธิภาพมากที่สุด นอกจากลบเครื่องสำอางออกแล้วน้ำมันมะพร้าวยังช่วยบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื่น

วิธีใช้ : นวดน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ระหว่างฝ่ามือของคุณเพื่อช่วยให้น้ำมันแตกตัวในรูปแบบของเหลวและเข้ากัน ใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์นวดให้ทั่วใบหน้าและนวดเบาๆ เช็ดทุกอย่างออกจากใบหน้าของคุณด้วยสำลี ล้างออกด้วยน้ำอุ่น และตามด้วยน้ำเย็นเพื่อเป็นการปิดรูขุมขนป้องกันการอุดตันของผิว เพื่อขจัดน้ำมันส่วนเกิน และเครื่องสำอาง เพื่อลบมาสคาร่าและลิปสติก เทน้ำมันมะพร้าวลงบนสำลีและเช็ดออกเบาๆที่ขนตาและลิปสติก


2. นมสด นม เป็นน้ำยาล้างเครื่องสำอางที่ดีที่สุด และมีราคาถูกกว่าน้ำยาล้างเครื่องสำอางทำร้ายผิวที่เราซื้อมา ตามซุปเปอร์มาร์เก็ต เป็นที่รู้จักกันอย่างดี ว่า นมนั้นอุดมไปด้วยคุณค่าและดีต่อสุขภาพผิวปริมาณไขมันและโปรตีนในนมเป็นสารบำรุงผิวจากธรรมชาติอย่างดีที่ช่วยบำรุงให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื่นนุ่มนวลและมีสุขภาพดี

วิธีใช้ : เทนมใส่ชสม หรือภาชนะ จุ่มสำลีลงไปในนมให้ชุ่มและบีบหมาดๆ เช็ดสำลีชุ่มน้ำนมให้ทั่วใบหน้า ล้างออกด้วยน้ำอุ่น และตามด้วยน้ำเย็นเพื่อเป็นการปิดรูขุมขนป้องกันการอุดตันของผิว


3. ว่านหางจระเข้ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาสารเคมี และทำร้ายผิว คุณสามารถใช้ว่านหางจระเข้ที่นอกจากมีคุณสมบัติทำให้ผิวชุ่มชื่นอิ่มน้ำแล้ว ยังสามารถลบล้างเครื่องสำอางได้อีกด้วย เจลว่านหางจระเข้สามารถล้างเครื่องสำอางออกจากผิวของคุณอย่างสะอาดหมดจดและยังช่วยให้ผิวกระจ่างใส ชุ่มชื่นอิ่มน้ำ ไม่ทำร้ายผิว

วิธีใช้ : ปอกเปลือกว่านหางจระเข้ ใช้เฉพาะส่วนที่เป็นเจล นำมาบดให้ละเอียดและใช้สำลีชุบว่านหางจรเข้ให้สำลีชุ่ม
เช็ดให้ทั่วใบหน้าเพื่อล้างเครื่องสำอางออก ล้างออกด้วยน้ำอุ่น และตามด้วยน้ำเย็นเพื่อเป็นการปิดรูขุมขนป้องกันการอุดตันของผิว
ล้างออกด้วยน้ำอุ่น และตามด้วยน้ำเย็นเพื่อเป็นการปิดรูขุมขนป้องกันการอุดตันของผิว


4. น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์

น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์เป็นอีกหนึ่งน้ำยาล้างเครื่องสำอางจากธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพ สามารถล้างเครื่องสำอางและในขณะเดียวกันก็บำรุงผิวทำให้ผิวของคุณชุ่มชื้น เนียนนุ่มและมีสุขภาพดีไม่แห้งเสีย นอกจากนี้น้ำมันมะกอกเหมาะกับทุกสภาพผิวอีกด้วย

วิธีใช้ : ใช้สำลีชุบน้ำมันมะกอกให้ชุ่ม เช็ดให้ทั่วใบหน้าที่ต้องการล้างเครื่องสำอางออก สามารถผสมน้ำมันมะกอกกับครีมอาบน้ำเด็กและนำมาล้างหน้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและรักษาผิวได้ ล้างออกด้วยน้ำอุ่น และตามด้วยน้ำเย็นเพื่อเป็นการปิดรูขุมขนป้องกันการอุดตันของผิว


5. โยเกิร์ต โยเกิร์ตเป็นอีกหนึ่งผลิตภันฑ์ประจำครัวที่ทุกบ้านต้องมี นอกจากประโยชน์ในการลดความอ้วนแล้ว ยังสามารถใช้มาสก์หน้า สครับผิวเพื่อบำรุงผิว และนำมาล้างเครื่องสำอางได้อีกด้วย และสามารถลดอาการเจ็บปวดจากการที่ผิวถูกทำร้ายจากแสงแดด ช่วยรักษาผิวให้นุ่ม ชุ่มชื้น

วิธีใช้ : เทโยเกิร์ตใส่ชามหรือภาชะ และใช้สำลีจุ่มให้ชุ่ม ถูให้ทั่วใบหน้า เป็นวงกลม และทำซ้ำๆจนล้างเครื่องสำอางออกจนหมด
ล้างออกด้วยน้ำอุ่น และตามด้วยน้ำเย็นเพื่อเป็นการปิดรูขุมขนป้องกันการอุดตันของผิว


6. น้ำกุหลาบ

น้ำดอกกุหลาบเป็นน้ำยาล้างเครื่องสำอางธรรมชาติที่ดีสำหรับทุกสภาพผิว ช่วยทำความสะอาดผิวของคุณและทำงานเป็นโทนเนอร์บำรุงผิวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ น้ำดอกกุหลาบช่วยเพิ่มเปล่งประกายกระจ่างใสให้กับผิวของคุณ (สามารถใช้น้ำดอกกุหลาบล้างหน้าได้อย่างสม่ำเสมอเพื่อผลลัพธ์ที่ดี)

วิธีใช้ : ใช้สำลีชุบน้ำกุหลาบให้ชุ่ม ถูให้ทั่วใบหน้า เป็นวงกลม และทำซ้ำๆจนล้างเครื่องสำอางออกจนหมด ล้างออกด้วยน้ำอุ่น และตามด้วยน้ำเย็นเพื่อเป็นการปิดรูขุมขนป้องกันการอุดตันของผิว คุณสามารถทำน้ำดอกกุหลาบไว้ล้างหน้าได้เองที่บ้านด้วยขั้นตอนง่ายๆ DIY วิธีทำน้ำกุหลาบ Homemade


7. น้ำมันโจโจบา

น้ำมันโจโจบาสามารถใช้เป็นครีมบำรุงผิว และบำรุงผมได้เป็นอย่างดี มีประสิทธิภาพ และคุณยังสามารถใช้เป็นน้ำยาล้างเครื่องสำอางธรรมชาติ นอกจากล้างเครื่องสำอางแล้วยังช่วยบำรุงผิวทำให้ผิวของคุณชุ่มชื้น เนียนนุ่มและมีสุขภาพดีไม่แห้งกร้าน น้ำมันโจโจบานั้นอ่อนโยนมาก และไม่ระคายเคืองต่อผิวเหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย มีค่า pH ที่สมดุลและไม่อุดตันผิวเหมาะสำหรับผิวอ่อนโยนแพ้ง่าย

วิธีใช้ : ใช้สำลีชุบน้ำมันโจโจบาให้ชุ่ม ถูให้ทั่วใบหน้า เป็นวงกลม และทำซ้ำๆจนล้างเครื่องสำอางออกจนหมด ล้างออกด้วยน้ำอุ่น และตามด้วยน้ำเย็นเพื่อเป็นการปิดรูขุมขนป้องกันการอุดตันของผิว


8. แตงกวา

แตงกวามีคุณสมบัติต่อต้านการอักเสบและน้ำมันธรรมชาติในแตงกวามีคุณสมบัติเหมาะที่จะใช้เป็นโทนเนอร์หลังล้างหน้า เราสามารถทำสารสกัดจากน้ำแตงกวาเก็บไว้ในขวดสเปรย์

วิธีใช้ : ใช้สเปรย์พรมน้ำแตงกวาน้ำบนใบหน้าของคุณจากนั้นใช้ผ้าเช็ดลงไปเบา ๆเพื่อทำความสะอาดผิวของคุณ
ล้างออกด้วยน้ำอุ่น และตามด้วยน้ำเย็นเพื่อเป็นการปิดรูขุมขนป้องกันการอุดตันของผิว สำหรับการล้างเครื่องสำอางหรือน้ำผสมน้ำแตงกวากับน้ำมันมะกอกในอัตราส่วน 2: 1 ถูสำลีลงบนใบหน้าของคุณและทำความสะอาดมันออกด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาด
ล้างออกด้วยน้ำอุ่น และตามด้วยน้ำเย็นเพื่อเป็นการปิดรูขุมขนป้องกันการอุดตันของผิว


9. กล้วย

หากคุณต้องการการบำรุงและให้ความชุ่มชื่นให้แก่ผิวของคุณในขณะที่คุณทำความสะอาด ล้างเครื่องสำอางออกจากใบหน้า กล้วยเป็น 1 ทางเลือกที่ดีที่สุด

วิธีใช้ : บดกล้วยหอมสุกด้วยช้อนไม้ เติมน้ำผึ้งและผสมให้เข้ากันกับกล้วย นำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ 5 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น และตามด้วยน้ำเย็นเพื่อเป็นการปิดรูขุมขนป้องกันการอุดตันของผิว


10. อะโวคาโด

อะโวคาโดนั้นมีคุณสมบัติที่ดีในการลบเครื่องสำอางออกจากรอบดวงตา กรดโอเมก้า 3 ไขมันและวิตามิน A, D และ E ในอโวคาโดเป็นครีมบำรุงผิวอย่างดีในการบำรุงรอบดวงตาและล้างเครื่องสำอางออก

วิธีใช้ : บดอโวคาโดลงในชามด้วยช้อนไม้ ใช้สำลีชุบลงไป

ที่มา : www.beautyclubthailand.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน